คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5184/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์มิได้ฟ้องว่าหนี้เงินกู้ยืมของจำเลยตามฟ้องเป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยกับผู้ร้องสอดซึ่งเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ร้องสอด เมื่อผลแห่งคำพิพากษาผูกพันเฉพาะสินส่วนตัวและสินสมรสเฉพาะส่วนของจำเลย ไม่กระทบกระเทือนส่วนของ ผู้ร้องสอด ผู้ร้องสอดจึงมิใช่ผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีที่จะร้องสอดเป็นจำเลยร่วมได้

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยตามสัญญายืมรวมสองฉบับ เป็นเงิน 60,675 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในเงินต้น 51,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วม อ้างว่าเป็นสามีจำเลยเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ผู้ร้องสอดไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องสอดอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
ผู้ร้องสอดฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องสอดว่า ผู้ร้องสอดมีสิทธิร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(2) หรือไม่ เห็นว่าโจทก์มิได้ฟ้องว่าหนี้เงินกู้ยืมของจำเลยตามฟ้องเป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยกับผู้ร้องสอดจึงไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ร้องสอด ผลแห่งคำพิพากษาผูกพันเฉพาะสินส่วนตัวและสินสมรสเฉพาะส่วนของจำเลยไม่กระทบกระเทือนส่วนของผู้ร้องสอด ผู้ร้องสอดจึงมิใช่ผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีนี้จะร้องสอดเป็นจำเลยร่วมไม่ได้ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งยกคำร้องขอของผู้ร้องสอดชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share