คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2560/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พระภิกษุจำพรรษาอยู่ที่วัดโจทก์ จึงเป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 44 เดิม(มาตรา 37 ที่แก้ไขใหม่) เมื่อพระภิกษุมรณภาพโดยมิได้ทำพินัยกรรมเกี่ยวกับที่ดินและตึกแถวพิพาทซึ่งได้มาระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศ จึงตกเป็นสมบัติของโจทก์ตาม มาตรา 1623 สัญญาจะซื้อขาย ผู้จะซื้อไม่มีสิทธิครอบครองใช้ประโยชน์ในทรัพย์ที่จะซื้อจะขายโดยปราศจากความยินยอมของเจ้าของทรัพย์ การอยู่ในที่ดินและตึกแถวพิพาทโดยเจ้าเจ้าไม่ยินยอมเป็นการอยู่โดยไม่มีสิทธิเป็นการละเมิดต่อพระภิกษุซึ่งเป็นเจ้าของ และการมรณภาพของพระภิกษุ ไม่เป็นเหตุให้การละเมิดสิ้นสุดลง เมื่อต่อมาที่ดินและตึกแถวตกเป็นสมบัติของโจทก์ จำเลยยังคงอยู่ในที่ดินและตึกแถวพิพาทต่อไป ย่อมเป็นการละเมิดต่อโจทก์ส่วนสิทธิเรียกค่าเสียหายจากการที่จำเลยทำละเมิดเพราะอยู่ในที่ดินและตึกแถวพิพาทขณะเป็นสมบัติของพระภิกษุก็ตกเป็นมรดกของโจทก์โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าพระภิกษุสมาน จนทศิริ หรือท่านพ่อเณรสมบูรณ์จริงจำพรรษาอยู่ที่วัดโจทก์ตลอดมา และถึงแก่มรณภาพด้วยโรคชราโดยมิได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้แก่ผู้ใด ภายหลังพระภิกษุสมานมาณภาพ ตึกแถวและที่ดินดังกล่าวพร้อมสิทธิต่าง ๆ จึงเป็นมรดกและตกได้แก่โจทก์ โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยออกไปจากตึกแถวและที่ดินนั้นพร้อมเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเดือนละ 2,000 บาทนับแต่วันที่ 1 มกราคม 2529 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2530 เป็นเงิน44,000 บาท แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและตึกแถวตามฟ้อง ห้ามเกี่ยวข้อต่อไป ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 44,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จและให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 2,000 บาท แก่โจทก์นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะออกจากที่ดินและตึกแถวตามฟ้อง
จำเลยให้การว่าที่ดินและตึกแถวตามฟ้องเป็นของท่านพ่อเณรสมบูรณ์จริง ซึ่งมิได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ที่ดินและตึกแถวพิพาทย่อมไม่ตกเป็นสมบัติของโจทก์เมื่อท่านพ่อเณรสมบูรณ์จริงมรณภาพทั้งท่านพ่อเณรสมบูรณ์จริงได้ตกลงจะขายที่ดินและตึกแถวพิพาทให้แก่จำเลยแล้วเมื่อ พ.ศ. 2527 ในราคา 250,000 บาท จำเลยได้ชำระราคาแล้ว 230,000 บาท จำเลยได้ชำระราคาแล้ว 230,000 บาทจำเลยอยู่อาศัยในที่ดินและตึกแถวพิพาทตามสิทธิในสัญญาจะซื้อจะขายไม่เป็นละเมิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและตึกแถวพิพาท ห้ามเกี่ยวข้อง ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 44,000 บาท แก่โจทก์ และชดใช้ต่อไปเดือนละ 2,000 บาทนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่ดินและตึกแถวพิพาทส่วนคำขอเรียกดอกเบี้ยของเงิน 44,000 บาท เป็นการซ้ำซ้อนกับค่าเสียหายไม่คิดให้ ให้ยกคำขอส่วนนี้
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินและตึกแถวพิพาทเป็นของพระภิกษุสมานจำเลยอยู่ในที่ดินและตึกแถวพิพาท พระภิกษุสมานเคยมอบอำนาจให้นายคุ้ม ปานเนาว์ ฟ้องจำเลยตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 153/2530 หมายเลขแดงที่ 571/2530 แต่ได้ขอถอนฟ้องไปภายหลังจากพระภิกษุสมานมรณภาพ พระภิกษุสมานจำพรรษาอยู่ที่วัดโจทก์และวินิจฉัยว่า วัดโจทก์เป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุสมานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 44 เดิม (มาตรา 37 ที่แก้ไขใหม่)ดังนั้น เมื่อพระภิกษุสมานมรณภาพโดยมิได้ทำพินัยกรรมเกี่ยวกับที่ดินและตึกแถวพิพาท ซึ่งพระภิกษุสมานได้มาระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศ ที่ดินและตึกแถวพิพาทจึงตกเป็นสมบัติของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1623 และวินิจฉัยว่าสัญญาจะซื้อขายผู้จะซื้อไม่มีสิทธิครอบครองใช้ประโยชน์ในทรัพย์ที่จะซื้อขายโดยปราศจากความยินยอมของเจ้าของทรัพย์ ดังนั้นพระภิกษุสมาน ตกลงจะขายที่ดินและตึกแถวให้จำเลยจริงหรือไม่จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย จำเลยอยู่ในที่ดินและตึกแถวพิพาทโดยพระภิกษุสมานมิได้ยินยอมการที่จำเลยอยู่ในที่ดินและตึกแถวพิพาทย่อมเป็นการอยู่โดยไม่มีสิทธิเป็นการละเมิดต่อพระภิกษุสมานการมรณภาพของพระภิกษุสมาน ไม่เป็นเหตุให้การละเมิดดังกล่าวสิ้นสุดลง เมื่อที่ดินและตึกแถวพิพาทตกเป็นสมบัติของโจทก์ จำเลยยังคงอยู่ในที่ดินและตึกแถวพิพาทต่อไป ย่อมเป็นการละเมิดต่อโจทก์ส่วนสิทธิเรียกค่าเสียหายจากการที่จำเลยกระทำละเมิดเพราะอยู่ในที่ดินและตึกแถวพิพาทขณะเป็นสมบัติของพระภิกษุสมานก็ตกเป็นมรดกของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลย
พิพากษายืน

Share