คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2559/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อศาลแพ่งมีคำพิพากษาคดีที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายและคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว แม้จำเลยที่ 2 จะได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่และคดีชั้นร้องขอพิจารณาใหม่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ก็ตาม แต่คำพิพากษาศาลแพ่งดังกล่าวย่อมต้องผูกพันคู่ความจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับหรืองดเสีย จำเลยที่ 2 จึงต้องผูกพันและมีหน้าที่ต้องชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว แม้จำเลยที่ 2 ไม่มีทรัพย์สินให้พึงยึดมาชำระหนี้ได้อันต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าเป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8 แต่จำเลยที่ 2เป็นนายทหารยศนาวาอากาศตรี อายุเพียง 40 ปีเศษ ยังมีโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงานต่อไปอีก หนี้ตามคำพิพากษาศาลแพ่งอันเป็นมูลเหตุให้จำเลยที่ 2 ถูกฟ้องล้มละลาย เป็นหนี้ตามสัญญาค้ำประกันการเข้าทำงานของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบิดาจำเลยที่ 2 มิใช่หนี้ที่จำเลยที่ 2 ก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ของตนเองโดยแท้ ประกอบกับจำเลยที่ 2มีรายได้จากเงินเดือนเดือนละ 10,500 บาท โดยไม่ปรากฏว่ามีหนี้สินอื่น และเหตุที่จำเลยที่ 2 ยังมิได้ชำระหนี้ก็น่าเชื่อว่าเพราะจำเลยที่ 2 เชื่อโดยสุจริตว่าจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นเงินเพียง 100,000 บาท ตามที่ระบุไว้ในสัญญาค้ำประกันเท่านั้นซึ่งจะเห็นได้จากจำเลยที่ 2 ได้ขอให้มีการพิจารณาคดีแพ่งดังกล่าวใหม่ และยืนยันตลอดมาตั้งแต่เมื่ออ้างตนเองเป็นพยานว่าพร้อมชำระเงินจำนวน 100,000 บาท ให้แก่โจทก์ทันที เชื่อได้ว่าจำเลยที่ 2 มิได้มีเจตนาหลีกเลี่ยงไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์เสียเลยจึงมีเหตุไม่สมควรให้จำเลยที่ 2 ล้มละลาย ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 14

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยทั้งสองจำนวน 333,293.94บาท พร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียม ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ 898/2525 จำเลยทั้งสองไม่มีทรัพย์สินใดที่จะยึดมาชำระหนี้ได้ทั้งจำเลยทั้งสองยังแจ้งย้ายออกจากเคหสถานที่เคยอยู่พฤติการณ์แสดงว่าจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยทั้งสองขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาด
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ ศาลชั้นต้นยกคำร้องจำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีใหม่เฉพาะคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันค่าเสียหายที่เกิดจากการปฏิบัติงานของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ในวงเงิน 100,000 บาทต่อมาจำเลยที่ 1 ทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์เรียกให้จำเลยที่ 2ยอมรับสภาพหนี้ไว้กับโจทก์และยินยอมโอนหนี้จำนวน 333,293.94 บาทมาเป็นของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ทำหนังสือรับสภาพหนี้โดยขอผ่อนชำระเดือนละ 1,500 บาท เสนอต่อโจทก์ โจทก์ไม่สนองรับ การโอนหนี้จึงไม่มีผลทางกฎหมาย ที่โจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดในมูลหนี้จำนวน 333,293.94 บาท นั้นจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ดังฟ้อง แต่จำเลยที่ 2 ไม่มีโอกาสได้ต่อสู้คดีเพราะไม่ได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 2เด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่าจำเลยที่ 2 มีหน้าที่ต้องชำระหนี้ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 898/2524 ของศาลแพ่ง ที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า ที่จำเลยที่ 2 อ้างว่า หนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวยังไม่ยุติ จำเลยที่ 2 ยังไม่มีหน้าที่ต้องชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวแก่โจทก์นั้น เมื่อศาลแพ่งมีคำพิพากษาคดีดังกล่าวและคดีถึงที่สุดแล้ว แม้จำเลยที่ 2 จะได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่และคดีชั้นร้องขอพิจารณาใหม่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ก็ตาม แต่คำพิพากษาของศาลแพ่งดังกล่าวย่อมต้องผูกพันคู่ความจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับหรืองดเสีย จำเลยที่ 2 จึงต้องผูกพันและมีหน้าที่ต้องชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวแล้ว
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ข้อต่อไปมีว่ามีเหตุไม่สมควรให้จำเลยล้มละลายหรือไม่ เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีทรัพย์สินให้พึงยึดมาชำระหนี้ได้อันต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าเป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัว ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8 แต่จำเลยที่ 2 เป็นนายทหารยศนาวาอากาศตรี อายุเพียง 40 ปีเศษ ยังมีโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงานต่อไปอีก หนี้ตามคำพิพากษาศาลแพ่งอันเป็นมูลเหตุให้จำเลยที่ 2ถูกฟ้องล้มละลาย เป็นหนี้ตามสัญญาค้ำประกันการเข้าทำงานของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบิดาจำเลยที่ 2 มิใช่หนี้ที่จำเลยที่ 2 ก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ของตนเองโดยแท้ ประกอบกับจำเลยที่ 2 มีรายได้จากเงินเดือนเดือนละ 10,500 บาท โดยไม่ปรากฏว่ามีหนี้สินอื่นและเหตุที่จำเลยที่ 2 ยังมิได้ชำระหนี้ก็น่าเชื่อว่าเพราะจำเลยที่ 2เชื่อโดยสุจริตว่าจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นเงินเพียง100,000 บาท ตามที่ระบุไว้ในสัญญาค้ำประกันเท่านั้น ซึ่งจะเห็นได้จากจำเลยที่ 2 ได้ขอให้มีการพิจารณาคดีแพ่งดังกล่าวใหม่และยืนยันตลอดมาตั้งแต่เมื่ออ้างตนเองเป็นพยานว่าพร้อมชำระเงินจำนวน100,000 บาท ให้แก่โจทก์ทันที เชื่อได้ว่าจำเลยที่ 2 มิได้มีเจตนาหลีกเลี่ยงไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์เสียเลย จึงมีเหตุไม่สมควรให้จำเลยที่ 2 ล้มละลาย ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 14
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share