แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาคดีแพ่ง จำนวน 200,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย เมื่อครบกำหนดตามคำบังคับแล้ว จำเลยไม่ได้ชำระหนี้ศาลออกหมายบังคับคดี ปรากฏว่าจำเลยมีเงินฝากในบัญชีกระแสรายวันและบัญชีออมทรัพย์เหลือประมาณ 400 บาท และ 200 บาทตามลำดับ และไม่มีทรัพย์สินอื่นใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ จึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 8(5) ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งจำนวน 200,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 18 ต่อปี จำเลยไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ เนื่องจากจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว จำเลยจะต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยนับจากวันที่ 18 กรกฎาคม 2524 ถึงวันฟ้องและค่าฤชาธรรมเนียมเป็นเงินทั้งสิ้น 391,213.20 บาท ขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดและมีคำพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายจำเลยให้การว่า โจทก์ไม่เคยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์สินจำเลย โจทก์เคยฟ้องจำเลยต่อศาลแพ่งขอให้จำเลยล้มละลายและถอนฟ้อง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้องศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 218/2529 ของศาลชั้นต้นโดยศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 200,000 บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 18 ต่อปี นับจากวันที่ 18กรกฎาคม 2524 จนกว่าชำระเสร็จ โดยดอกเบี้ยก่อนฟ้องต้องไม่เกิน142,224.65 บาท กับให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท เมื่อครบกำหนดตามคำบังคับแล้วจำเลยไม่ได้ชำระหนี้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีเมื่อวันที่ 2กรกฎาคม 2529 มีปัญหาในชั้นฎีกาว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่นายพิศพงศ์ งามพัฒนพงศ์ชัย พยานโจทก์เบิกความว่า พยานเป็นทนายความโจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 218/2529 ของศาลชั้นต้นเมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาโจทก์มอบให้พยานดำเนินการบังคับคดีแทน พยานได้ตรวจสอบบัญชีของจำเลยที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยาจำกัด สาขาเสาชิงช้าปรากฏว่าบัญชีเงินฝากกระแสรายวันมีเงินเหลืออยู่ประมาณ 400 บาท และจำเลยมีเงินเหลืออยู่ในบัญชีออมทรัพย์ของธนาคารกสิกรไทย สาขาถนนสาธร ประมาณ 200 บาทนอกจากนี้จำเลยไม่มีทรัพย์สินใดที่จะบังคับคดีได้ เห็นว่า จำเลยเป็นหนี้จำนวนมาก เมื่อนายพิศพงศ์พยานโจทก์ได้รับมอบหมายจากโจทก์ให้ดำเนินการบังคับคดีแล้ว น่าเชื่อว่าพยานต้องติดตามตรวจสอบทรัพย์สินของจำเลยก่อนที่จะนำยึดตามหมายบังคับคดี การที่พยานทราบว่าเงินในบัญชีของจำเลยเหลือเท่าใด แสดงให้เห็นได้ว่าพยานได้ติดตามตรวจสอบทรัพย์สินของจำเลยแล้ว นางกรรณิกา บุญยรักษ์พยานโจทก์เบิกความสนับสนุนว่า ก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยในคดีแพ่งหมายเลขแดง ที่ 218/2529 ของศาลชั้นต้น พยานได้ตรวจสอบทรัพย์สินของจำเลยที่กรมที่ดิน 1 ครั้ง ไม่พบทรัพย์สินของจำเลย ที่จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า ขณะที่โจทก์ฟ้องจำเลยในคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่126/2528 ของศาลแพ่ง จำเลยมีเงินฝากในธนาคารจำนวนมากนั้นก็เป็นเวลาก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ประมาณ 1 ปี ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเงินจำนวนนั้นคงมีอยู่จำนวนมากหรือเท่าเดิมขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ข้อที่จำเลยอ้างว่ามีทรัพย์สินเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 155 ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างมีราคาประมาณ 2,000,000 บาท ตามเอกสารหมาย ล.1แต่ที่ดินดังกล่าวมีชื่อนายสมพล ทัสนารมย์ สามีจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ซึ่งนายสมพลได้ที่ดินดังกล่าวมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2494ก่อนจดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ดินดังกล่าวจึงเป็นสินส่วนตัวของนายสมพล แม้ฎีกาของจำเลยก็ยอมรับว่าเป็นสินส่วนตัวของนายสมพลจำเลยจึงไม่มีอำนาจนำไปจำหน่ายจ่ายโอนเพื่อเอาเงินมาชำระหนี้โจทก์ได้ ส่วนข้ออ้างที่ว่าจำเลยมีทรัพย์สินอื่นและเป็นเจ้าหนี้ในการค้าเพชรพลอยประมาณ 1,000,000 บาท ก็เป็นข้ออ้างลอย ๆไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุน ฟังไม่ได้ดังที่อ้าง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้จึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 8(5) ว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว ทั้งจำเลยเป็นหนี้โจทก์เกินกว่า 50,000 บาท และเป็นหนี้ที่กำหนดจำนวนได้แน่นอน ที่ศาลล่างทั้งสองสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดมานั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน