แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
แม้โจทก์ยังชำระค่าเช่าซื้อรถไถไม่ครบ ยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ก็ตาม แต่โจทก์ในฐานะผู้เช่าซื้อเป็นผู้ครอบครองมีสิทธิใช้และได้รับประโยชน์จากรถไถที่เช่าซื้อ ฉะนั้นเมื่อจำเลยกลั่นแกล้งโจทก์ ยืนยันให้เจ้าพนักงานตำรวจยึดรถไถไป ทำให้ไม่ได้รับจ้างไถที่ดินหาประโยชน์ตามสิทธิของตน โจทก์ย่อมเป็นผู้ถูกจำเลยกระทำละเมิดโดยตรง จึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนได้
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองสำนวนเช่าซื้อรถไถมา ยังชำระค่าเช่าซื้อไม่ครบโจทก์นำรถไถไปรับจ้างไถที่ดิน จำเลยนำตำรวจไปจับกุมคนขับรถไถ และยึดรถไถของโจทก์ทั้งสองคันไว้ดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกทำให้เสียทรัพย์ผลการสอบสวนปรากฏว่าคนขับรถไถของโจทก์ไม่มีความผิด พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องไปแล้วโจทก์จึงฟ้องให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายฐานละเมิดแก่โจทก์คนละ 15,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย จำเลยทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “จำเลยฎีกาว่าขณะเกิดเหตุโจทก์ทั้งสองสำนวนชำระค่าเช่าซื้อรถไถยังไม่ครบ ยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยศาลฎีกาเห็นว่า แม้โจทก์ทั้งสองสำนวนยังชำระค่าเช่าซื้อรถไถไม่ครบ ยังไม่ได้กรรมสิทธิ์รถไถก็ตาม แต่โจทก์ทั้งสองสำนวนในฐานะผู้เช่าซื้อเป็นผู้ครอบครองมีสิทธิใช้และได้รับประโยชน์จากรถไถที่เช่าซื้อ ฉะนั้น เมื่อจำเลยกลั่นแกล้งโจทก์ยืนยันให้เจ้าพนักงานตำรวจยึดรถไถที่โจทก์ทั้งสองสำนวนเช่าซื้อไป ทำให้โจทก์ทั้งสองสำนวนไม่ได้ใช้รถไถนั้นออกรับจ้างไถที่ดินหาประโยชน์ตามสิทธิของตนโจทก์ทั้งสองสำนวนย่อมเป็นผู้ถูกจำเลยกระทำละเมิดโดยตรง จึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนที่ขาดประโยชน์จากการใช้รถไถดังกล่าวจากจำเลยได้”
พิพากษายืน