คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1843/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ จึงเท่ากับมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์หรือโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาที่ก่อให้เกิดสิทธิอยู่บนที่ดินนั้นได้ ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง การวินิจฉัยข้อเท็จจริงในกรณีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะร้องต่อศาลให้วินิจฉัยชี้ขาดคดีให้ตนเป็นฝ่ายชนะโดยอาศัยเหตุแต่เพียงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งขาดนัดไม่มาศาลนั้นไม่ได้ แต่ให้ศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชี้ขาดให้คู่ความที่มาศาลเป็นฝ่ายชนะคดีต่อเมื่อเห็นว่าข้ออ้างของคู่ความเช่นว่านั้นมีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย เมื่อศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชี้ขาดโดยพิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์ว่ามีน้ำหนักให้รับฟังแล้วเช่นนี้ย่อมไม่ขัดต่อกฎหมาย เมื่อศาลเห็นว่าการขาดนัดยื่นคำให้การของจำเลยเป็นการจงใจและไม่มีเหตุสมควรจึงไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ จำเลยอาจสาบานตนให้การเป็นพยานและถามค้านพยานโจทก์ได้เท่านั้น ไม่มีสิทธิอ้างทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสารมาสืบ การที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การและบัญชีระบุพยานนั้นชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 199วรรคสองแล้ว โจทก์เป็นเจ้าของรวมในที่ดินมี ส.ค.1 คนหนึ่งย่อมมีอำนาจฟ้องผู้ที่มารบกวนหรือแย่งที่ดินนั้นได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1359 แม้มาตรา 1359 จะอยู่ในหมวดกรรมสิทธิ์รวมก็ตาม ย่อมนำมาใช้บังคับในหมวดว่าด้วยการครอบครองได้ เพราะมีลักษณะเป็นเจ้าของรวมเหมือนกัน.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าที่ดินมี ส.ค.1 จำนวน 2 แปลง ของโจทก์กับผู้อื่นไปจากโจทก์มีกำหนด 1 ปี ค่าเช่าปีละ 10,000 บาท ครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ยอมออกไปจากที่เช่าและไม่ชำระค่าเช่า โจทก์บอกกล่าวแล้วจำเลยเพิกเฉย โจทก์เสียหายเพราะถ้าให้ผู้อื่นเช่าจะได้ค่าเช่าไม่ต่ำกว่าเดือนละ 5,000 บาท ขอให้จำเลยและบริวารขนย้ายออกไปจากที่ดินให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง 10,000 บาท ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดิน
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
คดีอยู่ระหว่างนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยยื่นคำร้องขอยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วเห็นว่า การขาดนัดของจำเลยเป็นไปโดยจงใจและไม่มีเหตุอันสมควร จึงไม่อนุญาตยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายออกไปจากที่ดินพิพาททั้งสองแปลง ให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างให้โจทก์ 10,000 บาท กับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ปีละ10,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายออกไปจากที่ดินพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเช่าที่ดินไปจากโจทก์ซึ่งมีผู้อื่นเป็นผู้มีสิทธิครอบครองร่วมกัน จำเลยเช่ามานานแล้ว ครั้งสุดท้ายได้ทำสัญญาเช่าลงวันที่ 27 พฤษภาคม 2529ครบกำหนดแล้วไม่ชำระค่าเช่า โจทก์มีหนังสือทวงถามและให้จำเลยออกไปจากที่เช่า จำเลยเพิกเฉย โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การแต่ไม่ขาดนัดพิจารณา จำเลยขอยื่นคำให้การศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วไม่อนุญาต ในชั้นสืบพยานโจทก์ จำเลยยื่นบัญชีระบุพยาน ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและศาลไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ จำเลยมีสิทธิที่จะถามค้านพยานโจทก์และสาบานตนเองเข้าเบิกความเป็นพยานได้เท่านั้น ไม่มีสิทธิที่จะอ้างพยานหลักฐานอื่น จึงไม่รับบัญชีระบุพยานของจำเลย ที่จำเลยฎีกาว่าการที่จำเลยถามค้านว่าจำเลยไม่มีเจตนาเช่าที่ดินโจทก์ เป็นการต่อสู้กรรมสิทธิ์และแปลความหมายของสัญญาแล้วนั้นศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ เท่ากับจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์หรือโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาที่ก่อให้เกิดสิทธิอยู่บนที่ดินนั้นได้ ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง และศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้นั้นถูกต้องแล้ว จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่จงใจขาดนัดยื่นคำให้การนั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ซึ่งยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้วว่าจำเลยจงใจขาดนัดและไม่มีเหตุอันสมควร ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ที่จำเลยฎีกาว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่น่าเชื่อ ต้องฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยและศาลกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์มากไป เป็นปัญหาข้อกฎหมายศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเป็นปัญหาข้อเท็จจริงและเชื่อตามที่โจทก์อ้างโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่าปัญหาดังกล่าวล้วนเป็นปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น และการวินิจฉัยข้อเท็จจริงในกรณีนี้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะร้องต่อศาลให้วินิจฉัยชี้ขาดคดีให้ตนเป็นฝ่ายชนะ โดยอาศัยเหตุแต่เพียงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งขาดนัดไม่มาศาลนั้นหาได้ไม่ แต่ให้ศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชี้ขาดคดีให้คู่ความที่มาศาลเป็นฝ่ายชนะต่อเมื่อศาลเห็นว่า ข้ออ้างของคู่ความเช่นว่านั้นมีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย เมื่อศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชี้ขาดโดยพิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์ว่ามีน้ำหนักให้รับฟังแล้วเช่นนี้ ย่อมไม่ขัดต่อกฎหมายดังที่จำเลยฎีกาข้อที่ว่า การที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การและบัญชีระบุพยานนั้นเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า เมื่อศาลเห็นว่าการขาดนัดยื่นคำให้การของจำเลยเป็นการจงใจและไม่มีเหตุสมควรจึงไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ จำเลยอาจสาบานตนให้การเป็นพยานและถามค้านพยานโจทก์ได้เท่านั้น ไม่มีสิทธิอ้างทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสารมาสืบ การที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การและบัญชีระบุพยานนั้นชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 วรรคสองแล้ว ฎีกาข้อสุดท้ายของจำเลยว่าโจทก์คนเดียวไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย โดยเจ้าของรวมคนอื่นไม่ได้มอบอำนาจให้โจทก์ฟ้องนั้น เห็นว่าโจทก์กับพวกร่วมกันยึดถือที่ดินเพื่อตน โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของรวมคนหนึ่งย่อมมีอำนาจฟ้องผู้ที่มารบกวนหรือแย่งที่ดินนั้นได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1359 แม้มาตรา 1359 จะอยู่ในหมวดกรรมสิทธิ์รวมก็ตามย่อมนำมาใช้บังคับในหมวดว่าด้วยการครอบครองได้ เพราะมีลักษณะเป็นเจ้าของรวมเหมือนกัน
พิพากษายืน.

Share