แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยยอมรับว่า จำเลยมีน้ำมันเครื่องซึ่งเป็นน้ำมันหล่อลื่นคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดตามที่โจทก์ฟ้องเป็นปริมาณเกินกว่า 200 ลิตร จึงเข้าข้อสันนิษฐานตามมาตรา 25 ตรี วรรคสามแห่งพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิงฯ ที่ใช้บังคับในขณะเกิดเหตุคดีนี้ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้ใดมีไว้ในครอบครองซึ่งน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีคุณภาพต่ำกว่าที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดมีปริมาณตั้งแต่สองร้อยลิตรขึ้นไป ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นเป็นผู้กระทำการปลอมปนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อจำหน่าย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้มีน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวไว้ในครอบครองเพื่อใช้ในกิจการของตน หรือได้น้ำมันเชื้อเพลิงนั้นมาโดยไม่ทราบว่าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีคุณภาพต่ำกว่าที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด” ดังนั้นข้อเท็จจริงจึงสันนิษฐานได้แล้วว่า จำเลยปลอมปนน้ำมันเครื่องเพื่อจำหน่าย จำเลยมีหน้าที่นำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าว
การที่จำเลยปลอมปนน้ำมันหล่อลื่นแล้วบรรจุใส่ถังซึ่งมีตราเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายประทับอยู่เพื่อจำหน่ายแก่ประชาชนที่ต้องการซื้อ โดยจำเลยมีเจตนาให้ประชาชนที่ซื้อน้ำมันหล่อลื่นนั้นหลงเชื่อว่าเป็นสินค้าของผู้เสียหายเป็นการครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 272(1) แล้ว แม้ถังน้ำมันหล่อลื่นที่มีตราเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายติดอยู่จะวางอยู่ในบริเวณห้างหุ้นส่วนจำกัด ป. ซึ่งมีรั้วรอบขอบชิด ห่างจากชุมชนและจำเลยไม่ได้นำไปแสดงแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือประชาชนทั่วไปก็ตาม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิงพ.ศ. 2521 มาตรา 4, 13, 25 ตรี, 27 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32,33, 83, 91, 272 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521 มาตรา 25 ตรี วรรคแรก และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 272(1) อันเป็นการกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ความผิดฐานปลอมปนน้ำมันเพื่อจำหน่ายให้ลงโทษจำคุก1 ปี 6 เดือน และปรับ 50,000 บาท กระทงหนึ่ง ความผิดเกี่ยวกับการค้าให้ลงโทษจำคุก 6 เดือน และปรับ 2,000 บาท อีกกระทงหนึ่งรวมโทษทุกกระทงจำคุก 1 ปี 12 เดือน และปรับ 52,000 บาทไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยต้องโทษใดมาก่อน เห็นควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดีต่อไป โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30ริบของกลางทั้งหมด
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำศูนย์ป้องกันและปราบปรามการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายได้ขอหมายค้นจากศาลแล้วเข้าตรวจค้นห้างหุ้นส่วนจำกัดปรีชา ออยล์ โดยจำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างของห้างดังกล่าวเป็นผู้นำเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจค้นในโรงงาน พบถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร ซึ่งมีตราเครื่องหมายการค้าของบริษัทเชลล์อินเตอร์เนชั่นแนลปิโตรเลียม จำกัด ผู้เสียหายติดอยู่ มีน้ำมันหล่อลื่นบรรจุอยู่เต็มถังจำนวน 11 ถัง และพบถังน้ำมันขนาด 200 ลิตรที่ไม่มีตราเครื่องหมายใดติดอยู่จำนวนกว่า 50 ถัง กับพบถังน้ำมันขนาด200 ลิตรจำนวน 1 ถัง ที่ได้เปิดฝาออก มีไม้กวนซึ่งทำจากเหล็ก 1 อันอยู่ในถัง และอุปกรณ์ต่าง ๆ อีกหลายรายการ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยึดถังบรรจุน้ำมันที่มีตราเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายติดอยู่จำนวน11 ถัง ถังสำหรับผสมหรือใช้กวน 1 ถัง ไม้กวนน้ำมันเครื่อง 1 อันปั๊มมือหมุน 1 ตัว ปั๊มไฟฟ้า 1 เครื่อง เส้นลวดสำหรับปิดภาชนะ 1 มัดคีมตัดลวด 1 อัน ท่อสายยาง 1 เส้น และสมุดแสดงการซื้อขายน้ำมัน2 เล่ม เป็นของกลาง และได้จับกุมจำเลยไปดำเนินคดีโดยนำตัวอย่างน้ำมันหล่อลื่นของกลางที่ยึดได้ไปตรวจพิสูจน์ที่กองน้ำมันเชื้อเพลิงกรมทะเบียนการค้า ผลการตรวจพิสูจน์ปรากฏว่าน้ำมันหล่อลื่นของกลางมีค่าความหนืด 11.15 เซนติสโตกส์ มีปริมาณค่าของด่าง1.90 มิลลิกรัม KOH/กรัม ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานที่กระทรวงพาณิชย์ได้ประกาศกำหนดไว้ จำเลยเป็นผู้ครอบครองน้ำมันเชื้อเพลิงของกลางชนิดน้ำมันหล่อลื่น ที่มีคุณภาพต่ำกว่าที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดจำนวน 11 ถัง รวมปริมาณ 2,200 ลิตร มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการแรกว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ว่า นายฉัตรชัย พลอาจ พยานโจทก์ซึ่งเบิกความว่าเคยไปติดต่อขอซื้อน้ำมันเครื่องจากจำเลยนั้นไม่น่าเชื่อถือ พยานหลักฐานที่ตรวจพบในที่เกิดเหตุและยึดไว้เป็นของกลางยังไม่อาจฟังได้ว่ามีการปลอมปนน้ำมันเครื่องเมื่อโจทก์มิได้มีพยานหลักฐานการล่อซื้อน้ำมันเครื่องจากจำเลยทั้งพยานหลักฐานของจำเลยก็มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าน้ำมันเครื่องของกลาง จำเลยมีไว้สืบเนื่องมาจากกิจการของห้างหุ้นส่วนจำกัดปรีชาออยล์ นายจ้างของจำเลย จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีความผิดในข้อหาปลอมปนน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทน้ำมันหล่อลื่นเพื่อจำหน่ายนั้น เห็นว่า เมื่ออุทธรณ์ของจำเลยได้ยอมรับข้อเท็จจริงว่า จำเลยมีน้ำมันเครื่องซึ่งเป็นน้ำมันหล่อลื่นคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดตามที่โจทก์ฟ้องจำนวน 11 ถัง ขนาดบรรจุถังละ 200 ลิตรจริงซึ่งคำนวณเป็นปริมาณรวมกันแล้วเกินกว่า 200 ลิตร ก็เข้าข้อสันนิษฐานตามมาตรา 25 ตรี วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิงพ.ศ. 2521 ที่ใช้บังคับในขณะเกิดเหตุคดีนี้ซึ่งบัญญัติว่า ผู้ใดมีไว้ในครอบครองซึ่งน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีคุณภาพต่ำกว่าที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดมีปริมาณตั้งแต่สองร้อยลิตรขึ้นไป ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นเป็นผู้กระทำการปลอมปนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อจำหน่ายเว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้มีน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวไว้ในครอบครองเพื่อใช้ในกิจการของตน หรือได้น้ำมันเชื้อเพลิงนั้นมาโดยไม่ทราบว่าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีคุณภาพต่ำกว่าที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดดังนั้น ข้อเท็จจริงจึงสันนิษฐานได้แล้วว่า จำเลยปลอมปนน้ำมันเครื่องเพื่อจำหน่าย ส่วนที่จำเลยนำสืบว่าน้ำมันหล่อลื่นของกลางเป็นน้ำมันเครื่องที่ใช้แล้วของรถบรรทุกน้ำมันซึ่งใช้ขนถ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงไปส่งให้แก่ลูกค้าตามที่ต่าง ๆ อันเป็นกิจการค้าของห้างหุ้นส่วนจำกัดปรีชาออยล์ เปลี่ยนถ่ายไว้ น้ำมันเครื่องดังกล่าวหากเททิ้งไปจะเป็นอันตรายต่อสภาพธรรมชาติ ทั้งสามารถขายให้ผู้รับเหมาก่อสร้างนำไปใช้ทาไม้แบบ ทางห้างดังกล่าวจึงเก็บไว้ขายนั้น จำเลยมีพยานคือตัวจำเลยเบิกความลอย ๆ โดยไม่ปรากฏหลักฐานว่ารถบรรทุกน้ำมันที่ใช้ในกิจการของห้างดังกล่าวมีจำนวนมากเพียงใด สภาพของโรงงานที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปตรวจค้นก็ไม่ปรากฏเครื่องมือเครื่องจักร หรือสถานที่ที่จัดไว้เพื่อความสะดวกในการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องรถบรรทุก ทั้งจำเลยก็มิได้นำสืบให้เห็นถึงน้ำมันเครื่องที่ยังไม่ได้ใช้งานที่มีอยู่ในห้างนั้นที่เตรียมไว้ใช้เปลี่ยนถ่ายให้รถบรรทุกแทนน้ำมันเครื่องที่ใช้งานแล้วแต่อย่างใด แม้จำเลยจะมีนายกุหลาบธนะสาร มาเบิกความสนับสนุนว่าได้เคยซื้อน้ำมันเครื่องใช้แล้วจากนายปรีชาเจ้าของห้างดังกล่าวหลายครั้ง ก็ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังจึงเป็นกรณีที่จำเลยไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า จำเลยมีน้ำมันหล่อลื่นของกลางไว้ในครอบครองเพื่อใช้ในกิจการของห้างหุ้นส่วนจำกัดปรีชา ออยล์ ซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลย พยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักให้รับฟังหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าวได้ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางฟังว่าจำเลยมีความผิดฐานปลอมปนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อจำหน่ายนั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ในความผิดข้อหาร่วมกันเอาชื่อ รูปรอยประดิษฐ์ หรือข้อความใด ๆ ในการประกอบการค้าของผู้อื่นมาใช้เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นสินค้าหรือการค้าของผู้อื่นนั้นพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบได้ความแต่เพียงว่าถังน้ำมันหล่อลื่นที่มีตราเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายติดอยู่วางอยู่ในบริเวณห้างหุ้นส่วนจำกัดปรีชา ออยล์ ซึ่งมีรั้วรอบขอบชิด ทั้งยังห่างจากชุมชน จำเลยไม่ได้นำไปแสดงแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือประชาชนทั่วไปจึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดนั้น เห็นว่า ในความผิดข้อหาเอาชื่อรูป รอยประดิษฐ์หรือข้อความใด ๆ ในการประกอบการค้าของผู้อื่นมาใช้ หรือทำให้ปรากฏที่สินค้า หีบ ห่อ วัตถุที่ใช้หุ้มห่อ แจ้งความรายการแสดงราคา จดหมายเกี่ยวกับการค้าหรือสิ่งอื่นทำนองเดียวกันเพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นสินค้าหรือการค้าของผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 272(1) นั้น มิได้หมายความจำกัดเพียงว่าจะต้องนำสินค้าดังกล่าวออกแสดงให้ประชาชนเห็นได้โดยทั่วไปเสียก่อนจึงจะเป็นความผิด เมื่อคดีนี้พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาฟังได้ว่าจำเลยได้ปลอมปนน้ำมันหล่อลื่นแล้วบรรจุใส่ถังซึ่งมีตราเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายประทับอยู่เพื่อจำหน่ายแก่ประชาชนที่ต้องการซื้อ โดยจำเลยมีเจตนาให้ประชาชนที่ซื้อน้ำมันหล่อลื่นนั้นหลงเชื่อว่าเป็นสินค้าของผู้เสียหายก็ครบองค์ประกอบความผิดในข้อหานี้แล้ว ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางฟังว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 272(1) ด้วยนั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น…”
พิพากษายืน