แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
สถานที่เกิดเหตุเป็นที่โล่งและคืนเกิดเหตุเป็นเวลาข้างขึ้นแสงจันทร์ย่อมส่องสว่างทั้งยังมีแสงไฟฉายจากกระบอกไฟฉายที่คนร้ายส่องขณะเลื่อยตัดงาช้าง พยานซุ่ม ดู ประมาณ 4-5 นาทีนานพอจะเห็นจำเลยที่ 1 ได้ถนัด แม้จะเห็นด้านข้างและพยานเคยรู้จักจำเลยที่ 1 มาก่อน ทั้งไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1หลังเกิดเหตุแล้ววันรุ่งขึ้นตอนเช้า พยานก็รีบไปแจ้งให้มารดาผู้เสียหาย และตำรวจทราบว่าจำเลยที่ 1 ร่วมเป็นคนร้ายที่ตัดงาช้าง ของผู้เสียหายด้วย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1กระทำผิด.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2531 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยทั้งสองกับพวกอีก 3 คน ที่หลบหนีได้ร่วมกันลักตัดเอางาช้าง 1 คู่ ราคา 40,000 บาท ของนายจะดี ไม่มีนามสกุล ผู้เสียหายไปโดยทุจริต เหตุเกิดที่ตำบลแม่ศึก อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่จำเลยที่ 1 เป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่2322/2531 ของศาลชั้นต้น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา83, 335 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5)พ.ศ. 2525 มาตรา 11 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนงาช้าง 1 คู่หรือใช้ราคางาช้าง 40,000 บาท ที่ยังไม่ได้คืนให้แก่ผู้เสียหาย และนับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2322/2531ของศาลชั้นต้นด้วย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 335(1), (7) และวรรคสาม พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525 มาตรา 11ให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 ปี โดยให้นับโทษต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2322/2531 ของศาลชั้นต้น และให้จำเลยที่ 1คืนงาช้าง 1 คู่ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 40,000 บาท แทนแก่ผู้เสียหาย ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ด้วย
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง มีคนร้ายหลายคนร่วมกันลักตัดงาช้าง 1 คู่ ราคา 40,000 บาท ของผู้เสียหายไป ปัญหามีว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีประจักษ์พยานคือนายเหย่พอ ไม่มีนามสกุล เบิกความว่า ซุ่มดูคนร้าย 5 คนกำลังร่วมกันตัดงาช้างของผู้เสียหาย โดยซุ่มดูห่างประมาณ 15 เมตร เห็นจำเลยที่ 1 กำลังเกาหูช้างโดยจำเลยที่ 1 หันข้างมาทางนายเหย่พอจึงเห็นหน้าและจำได้ ศาลฎีกาเห็นว่านายเหย่พอซุ่มดูอยู่ไม่ไกลนักสถานที่เกิดเหตุเป็นที่โล่งตามบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุคดีอาญาเอกสารหมาย จ.5 ข้อ 9.1 และในคืนเกิดเหตุเป็นเวลาข้างขึ้น 14 ค่ำเดือน 8 เวลาประมาณ 21 นาฬิกา ซึ่งพระจันทร์ขึ้นแล้ว แสงจันทร์ย่อมส่องสว่าง ทั้งยังมีแสงไฟฉายจากกระบอกไฟฉายที่คนร้ายส่องขณะเลื่อยตัดงาช้าง นายเหย่พอซุ่มดูประมาณ 4-5 นาที นานพอจะเห็นจำเลยได้ถนัดแม้จะเห็นด้านข้าง และนายเหย่พอก็รู้จักจำเลยที่ 1มาก่อนเกิดเหตุเนื่องจากจำเลยที่ 1 เคยรับจ้างทำงานที่หมู่บ้านของนายเหย่พอจึงน่าเชื่อว่านายเหย่พอจำจำเลยที่ 1 ได้ไม่ผิดตัว ทั้งนายเหย่พอไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1 จึงไม่มีเหตุที่จะปรักปรำจำเลยที่ 1 หลังจากเกิดเหตุแล้ว วันรุ่งขึ้นตอนเช้านายเหย่พอก็รีบไปแจ้งข่าวให้มารดาผู้เสียหายและผู้เสียหายทราบโดยบอกว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายที่ร่วมตัดงาช้างของผู้เสียหายรวมทั้งแจ้งต่อสิบตำรวจโทสุทัศน์ นะที พยานโจทก์ในวันนั้นระบุว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายด้วย เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 1ได้ นายเหย่พอก็ชี้ตัวยืนยันว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ลักงาช้างไปข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดดังฟ้องโจทก์จริง ที่จำเลยที่ 1 อ้างว่ามีสาเหตุโกรธเคืองกับนายเหย่พอมาก่อน เพราะจำเลยที่ 1 เคยไปทวงหนี้ค่าปลากระป๋องและกางเกงรวมเป็นเงิน 160 บาทจากนายเหย่พอแล้วทะเลาะกัน เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีเหตุผลพอทั้งพยานฐานที่อยู่ของจำเลยที่ 1 ก็ไม่มีน้ำหนักรับฟังหักล้างพยานโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 มานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.