คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 255/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยอุทธรณ์ว่าที่โจทก์ยินยอมให้จำเลยก่อสร้างต่อเติม ตึกแถวพิพาทเพื่อให้ตึกแถวพิพาทซึ่งมีลักษณะชำรุดทรุดโทรมมากให้ มีลักษณะกลับคืนดีขึ้นใหม่ จึงเป็นสัญญา ต่างตอบแทนชนิดพิเศษ ยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดานั้น เป็นการโต้เถียงเกี่ยวกับการก่อสร้าง ต่อเติมตึกแถวพิพาทว่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนชนิดพิเศษยิ่งกว่า สัญญาเช่าธรรมดา โดยอ้างข้อเท็จจริงแตกต่างไปจากที่ศาลชั้นต้น รับฟังมาว่าการกระทำของจำเลยก็เพื่อความสะดวกในการอยู่อาศัยและ ทำการค้าของจำเลยเอง จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามอุทธรณ์ ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยให้การโดยยกข้อโต้เถียงในเรื่อง แปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาเช่าไว้ด้วย จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ที่ศาลสูงสมควรวินิจฉัยนั้น เมื่อปรากฏว่าจำเลยมิได้ให้การ ดังกล่าวไว้ จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วใน ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสี่ได้ให้จำเลยเช่าตึกแถวเลขที่ 560/175โดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือและไม่ได้กำหนดเวลาเช่าไว้ การเปลี่ยนอัตราค่าเช่าหลายครั้ง ครั้งหลังสุดค่าเช่าเดือนละ 1,500 บาทประมาณกลางเดือนธันวาคม 2529 โจทก์บอกกล่าวเลิกสัญญาเช่าจำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากตึกแถวและส่งมอบให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 4,500 บาท และค่าเสียหายในอัตราเดือนละ 1,500 บาทนับถัดจากเดือนฟ้องจนกว่าจำเลยจะส่งมอบตึกแถวให้โจทก์
จำเลยให้การว่า ในปี 2523-2524 จำเลยได้ขออนุญาตนายจรูญศรีจันทร์ บิดาโจทก์ที่ 4 ซึ่งเป็นตัวแทนโจทก์ทั้งสี่เก็บค่าเช่าจากจำเลยว่า จำเลยจะต่อเติมตึกแถวพิพาทหลายรายการ นายจรูญได้ยินยอมโดยจะให้จำเลยเช่าอยู่โดยไม่มีกำหนดเวลา จำเลยจึงทำการดัดแปลงตึกแถวพิพาทหลายรายการ รวมเสียค่าก่อสร้างไปเป็นเงิน359,000 บาท นับเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดาโจทก์ทั้งสี่จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารให้ออกไปจากตึกแถวพิพาทและเรียกค่าเสียหายขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์ออกจากตึกแถวพิพาท และส่งมอบให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายในอัตราเดือนละ 1,500 บาท นับแต่เดือนมีนาคม 2530เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากตึกแถวพิพาทของโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดให้แก่จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละสองพันบาทจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์หรือมิได้ยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายของข้อความในสัญญาเช่า จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่ากรณีที่จำเลยก่อสร้างต่อเติมตึกแถวพิพาทที่เช่าจากโจทก์ ก็เพื่อความสะดวกในการอยู่อาศัยและทำการค้าของจำเลยเอง ถือไม่ได้ว่าสัญญาต่างตอบแทนชนิดพิเศษกว่าสัญญาเช่าธรรมดา การที่จำเลยอุทธรณ์ว่าที่โจทก์ยินยอมให้จำเลยก่อสร้างต่อเติมตึกแถวพิพาท ก็เพื่อให้ตึกแถวพิพาทซึ่งมีลักษณะชำรุดทรุดโทรมมากให้มีลักษณะกลับคืนดีขึ้นใหม่ จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนชนิดพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดานั้น เป็นการโต้เถียงเกี่ยวกับการก่อสร้างต่อเติมตึกแถวพิพาทว่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนชนิดพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา โดยอ้างข้อเท็จจริงแตกต่างไปจากที่ศาลชั้นต้นรับฟังมา จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์จำเลยจึงชอบแล้ว
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยให้การต่อสู้ฟ้องโจทก์โดยยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาเช่าไว้ด้วยจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลสูงจะสมควรวินิจฉัยต่อไปนั้น เห็นว่าจำเลยมิได้ให้การดังกล่าวไว้แต่อย่างใดจึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share