คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10942/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 เป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้คณะกรรมการการเลือกตั้งควบคุมและดำเนินการจัดหรือจัดให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม การกระทำใดที่เป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว จึงมีผลกระทบโดยตรงต่อการเลือกตั้งและผู้สมัครรับเลือกตั้งเท่านั้น มิได้มีผลต่อบุคคลภายนอก ประกอบกับมาตรา 135 ของพระราชบัญญัติดังกล่าว ยังบัญญัติว่า “ในกรณีที่ปรากฏว่ามีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้เกิดขึ้นในเขตเลือกตั้งใด ให้ถือว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือผู้สมัครในเขตเลือกตั้งนั้นเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา” เมื่อโจทก์มิใช่คณะกรรมการการเลือกตั้งและมิใช่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง โจทก์จึงไม่เป็นผู้เสียหายตามที่กฎหมายบัญญัติรับรองไว้อีกด้วย ส่วนที่การกระทำของจำเลยอาจทำให้โจทก์ต้องรับโทษทางอาญาและถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง โจทก์ก็เป็นผู้เสียหายที่มีอำนาจฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 137, 174 ได้อยู่แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 137, 172, 174, 326, 328 พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 57 (5), 114, 118 และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจำเลยมีกำหนดสิบปี
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่า เมื่อปี 2518 โจทก์เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 1 จังหวัดสุพรรณบุรี ในสังกัดพรรคชาติไทย เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2551 ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเทศบาลตำบลอู่ทองประกาศให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลตำบลอู่ทองและนายกเทศมนตรีตำบลอู่ทองในวันที่ 9 มีนาคม 2551 จำเลย นายรัชชัย ซึ่งเป็นน้องชายของโจทก์ และนายพิเชษฐ ต่างสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีตำบลอู่ทอง โดยได้รับหมายเลขประจำตัวผู้สมัครหมายเลข 1 ถึง 3 ตามลำดับ และนายภัทธพงษ์ บุตรของโจทก์สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลตำบลอู่ทองเขตเลือกตั้งที่ 1 ได้หมายเลข 12 ในนามกลุ่มรัชชัยพัฒนา วันที่ 7 มีนาคม 2551 จำเลยทำหนังสือร้องเรียนคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดสุพรรณบุรีว่า โจทก์กับพวกมีพฤติการณ์ร่วมกันกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง โดยโจทก์ซึ่งอดีตเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อของพรรคชาติไทยเป็นพี่ชายนายรัชชัยและเป็นบิดานายภัทธพงษ์ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลตำบลอู่ทองเขตเลือกตั้งที่ 1 หมายเลข 12 กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 57 (5) โดยเป็นผู้สนับสนุนการหาเสียงของนายรัชชัยอย่างชัดแจ้งด้วยการเรียกผู้นำชุมชนในเขตเทศบาลตำบลอู่ทองหลายคนไปพบที่บ้านแล้วพูดจาโน้มน้าวและข่มขู่ให้ช่วยหาเสียงให้นายรัชชัยกับพวก และนำบัตรที่มีตราสัญลักษณ์ของพรรคชาติไทยและข้อความว่านายวิรัช อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสุพรรณบุรี ไปแจกแนบกับบัตรหาเสียงของกลุ่มรัชชัยพัฒนาซึ่งมีชื่อและหมายเลขของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรี รวมทั้งผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลหมายเลข 7 ถึง 12 ทั้งสองเขต อันเป็นการหลอกลวงจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่วไปเข้าใจผิดว่านายรัชชัยกับพวกกลุ่มรัชชัยพัฒนาได้รับการสนับสนุนจากพรรคชาติไทย อาจทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตและเที่ยงธรรม เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้งสืบสวนสอบสวนและลงโทษโจทก์กับพวก ตามสำเนาหนังสือร้องเรียนคดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยข้อแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 57 (5), 114, 118 หรือไม่ ที่โจทก์ฎีกาว่า การร้องเรียนของจำเลยอาจทำให้โจทก์ต้องรับโทษทางอาญาและถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 57 (5), 114, 118 โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายที่มีอำนาจฟ้องจำเลยนั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 เป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้คณะกรรมการการเลือกตั้งควบคุมและดำเนินการจัดหรือจัดให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม การกระทำใดที่เป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว จึงมีผลกระทบโดยตรงต่อการเลือกตั้งและผู้สมัครรับเลือกตั้งเท่านั้น มิได้มีผลต่อบุคคลภายนอก ประกอบกับมาตรา 135 ของพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 ยังบัญญัติว่า “ในกรณีที่ปรากฏว่ามีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้เกิดขึ้นในเขตเลือกตั้งใด ให้ถือว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือผู้สมัครในเขตเลือกตั้งนั้นเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา” เมื่อโจทก์มิใช่คณะกรรมการการเลือกตั้งและมิใช่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง โจทก์จึงไม่เป็นผู้เสียหายตามที่กฎหมายบัญญัติรับรองไว้อีกด้วย ส่วนที่การกระทำของจำเลยอาจทำให้โจทก์ต้องรับโทษทางอาญาและถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง โจทก์ก็เป็นผู้เสียหายที่มีอำนาจฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 174 ได้อยู่แล้ว แต่ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 ต้องถือว่าโจทก์ไม่เป็นผู้เสียหาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 57 (5), 114, 118
ปัญหาในข้อต่อไปมีว่า ฟ้องโจทก์ในความผิดฐานหมิ่นประมาทขาดอายุความแล้วหรือไม่ ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์เพิ่งรู้เรื่องความผิดเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2552 ตอนที่เข้าไปฟังการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 7 นั้น ได้ความจากคำเบิกความของพันตำรวจโทชัยยา ซึ่งได้รับแต่งตั้งจากคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดสุพรรณบุรี ให้เป็นประธานอนุกรรมการสืบสวนสอบสวนตามหนังสือร้องเรียนของจำเลยว่า พยานสอบปากคำโจทก์และแจ้งข้อกล่าวหาให้โจทก์แล้ว ตามสำเนาบันทึกปากคำลงวันที่ 25 มีนาคม 2551 โดยโจทก์ให้การว่า ตามที่นายนิยมกับพวกร้องเรียนกล่าวหาว่าข้าฯ เป็นสมาชิกพรรคชาติไทยซึ่งเป็นพรรคชั้นนำและได้รับความนิยมในจังหวัดสุพรรณบุรีได้นำสัญลักษณ์พรรคชาติไทยพิมพ์ติดกับนามบัตรแจกแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งนายกเทศมนตรีตำบลอู่ทองและสมาชิกสภาเทศบาลตำบลอู่ทองเพื่อช่วยเหลือกลุ่มรัชชัยพัฒนา ซึ่งมีนายรัชชัย ผู้สมัครนายกเทศมนตรีหมายเลข 2 และผู้สมัครสมาชิกสภาเทศบาลเขตที่ 1 และ 2 หมายเลข 7 ถึง 12 ขอให้การว่าไม่เป็นความจริง… อันเป็นการให้ถ้อยคำแก้ข้อกล่าวหาได้ถูกต้องตรงตามหนังสือร้องเรียนของจำเลย แสดงว่าโจทก์ทราบและเข้าใจเรื่องราวตามที่ถูกจำเลยกล่าวหาได้เป็นอย่างดี ฟังได้ว่าโจทก์รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดอย่างช้าตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2551 เมื่อโจทก์มิได้ร้องทุกข์ภายในสามเดือนนับแต่วันดังกล่าว และฟ้องคดีนี้วันที่ 20 กรกฎาคม 2552 ซึ่งเกินกว่าสามเดือน ฟ้องโจทก์ในความผิดฐานหมิ่นประมาทจึงขาดอายุความ
ปัญหาประการสุดท้ายมีว่า จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานเกี่ยวกับความผิดอาญาเพื่อให้โจทก์ต้องรับโทษหรือไม่ เห็นว่า โจทก์เบิกความเจือสมว่าโจทก์ช่วยนายรัชชัยหาเสียงและได้แจกนามบัตรให้แก่ผู้ที่ขอจริง จึงมีเหตุผลให้น่าเชื่อว่า ในการที่โจทก์ช่วยนายรัชชัยน้องชายและนายภัทธพงษ์บุตรชายหาเสียงเลือกตั้ง โจทก์มอบนามบัตรของตนโดยมีเจตนาเพื่อให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าใจว่า นายรัชชัยกับพวกได้รับการสนับสนุนจากพรรคชาติไทยนั่นเอง สำหรับเรื่องข่มขู่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง พยานหลักฐานของโจทก์คงมีเพียงคำเบิกความของโจทก์ลอยๆ ว่า โจทก์ไม่เคยเรียกผู้นำชุมชนหรือผู้ใดไปข่มขู่ แต่พยานจำเลยมีนายฉลอง ประธานชุมชนพญาจักรรวมใจเบิกความว่า ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ก่อนการเลือกตั้งประมาณ 3 สัปดาห์ โจทก์โทรศัพท์ให้พยานไปพบที่บ้านและข่มขู่ให้พยานเลิกหาเสียงให้แก่จำเลย จนพยานเครียดต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล โดยมีนางมณีรัตน์ และนางสาวอัญชลี ที่รับรู้เรื่องราวจากนายฉลองเป็นพยานสนับสนุน นายฉลอง เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาจึงไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าปั้นแต่งเรื่องราวใส่ร้ายโจทก์ซึ่งเป็นผู้มีชื่อเสียงในจังหวัดสุพรรณบุรีได้ จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานเกี่ยวกับความผิดอาญาเพื่อให้โจทก์ต้องรับโทษ ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share