คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2549/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย หากจำเลยประสงค์จะอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น จำเลยต้องปฏิบัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 234 โดยยื่นคำขอเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้นและนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่ง แม้อุทธรณ์คำสั่งของจำเลยจะขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายมิใช่อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยก็ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของบทบัญญัติดังกล่าว เพราะการอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยกระทำขึ้นภายหลังที่ศาลชั้นต้นพิพากษาชี้ขาดตัดสินคดีแล้ว เมื่อมีการอุทธรณ์เช่นนี้ ย่อมทำให้การบังคับคดีต้องล่าช้าออกไป อาจเสียหายแก่โจทก์ผู้ชนะคดีได้ จำเลยผู้อุทธรณ์จึงต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวให้ครบถ้วน เมื่อจำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์โดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล จึงเป็นอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากระหว่างพิจารณาจำเลยยื่นคำร้อง ขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดในปัญหาข้อกฎมาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จะพิจารณาสั่งในคำพิพากษาต่อมาศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ย และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งคำร้องของจำเลยซึ่งขอให้วินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย โดยให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาคดีนี้ให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามคำร้องของจำเลยแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี หรือให้ศาลอุทธรณ์ดำเนินการดังกล่าวตามคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาซึ่งจำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งไว้ จึงต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 (2) ทั้งจำเลยมิได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษามาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 จึงมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เป็นกรณีอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 จึงมีคำสั่งให้ผู้อุทธรณ์นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนด 15 วัน นับจากวันถือว่าทราบคำสั่งนี้ เมื่อครบกำหนดเวลาแล้วจึงจะพิจารณาสั่งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งนี้ ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าครบกำหนดเวลาตามคำสั่งศาลแล้ว จำเลยมิได้ปฏิบัติตาม จึงให้ส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์พิจารณาสั่งต่อไป
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ ต้องนำเงินมาชำระตามคำพิพากษา หรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ด้วย การที่จำเลยไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลตามกำหนด คำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้นไม่สั่งรับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ แต่ให้ส่งสำนวนมายังศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาสั่งจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยว่าชอบหรือไม่ เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยดังกล่าว หากจำเลยประสงค์จะอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น จำเลยต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 โดยยื่นคำขอเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้นและนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่ง แม้อุทธรณ์คำสั่งของจำเลยจะขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายมิใช่อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ตาม จำเลยก็ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของบทบัญญัติดังกล่าวเพราะการอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยกระทำขึ้นภายหลังที่ศาลชั้นต้นพิพากษาชี้ขาดตัดสินคดีแล้ว เมื่อมีการอุทธรณ์เช่นนี้ ย่อมทำให้การบังคับคดีต้องล่าช้าออกไป อาจเสียหายแก่โจทก์ผู้ชนะคดีได้ จำเลยผู้อุทธรณ์จึงต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวให้ครบถ้วน เมื่อจำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์โดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลจึงเป็นอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลอุทธรณ์จึงไม่อาจพิจารณาคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นของจำเลยนี้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยจึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share