คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2541/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

วัตถุประสงค์ของจำเลยตามที่ปรากฏเห็นได้ในตัวว่าเป็นการแสวงกำไรในทางเศรษฐกิจ เป็นการแปล กฎหมาย ไม่ใช่ข้อเท็จจริงศาลแรงงานกลางไม่ต้องฟังความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ
โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยตั้งแต่ข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 31 ว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์ พ.ศ. 2519 ซึ่งตามข้อบังคับดังกล่าวโจทก์มีสิทธิได้รับทั้งเงินจากกองทุนสงเคราะห์และค่าชดเชย ต่อมาจำเลยได้ปรับปรุงข้อบังคับว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์ใหม่เป็นฉบับที่ 24 พ.ศ. 2525 ซึ่งกำหนดว่าพนักงานที่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์ตามข้อบังคับนี้ทำให้สิทธิของโจทก์ที่มีอยู่ตามข้อบังคับเดิมลดลงไป เมื่อจำเลยแก้ไขข้อบังคับโดยโจทก์มิได้ยินยอมด้วย จึงไม่ผูกพันโจทก์ สิทธิของโจทก์ในเรื่องเงินกองทุนสงเคราะห์จึงต้องบังคับตามฉบับที่ 31(ข้อบังคับทั้งสองฉบับมิได้เกิดจากการแจ้งข้อเรียกร้อง).

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นพนักงานของจำเลย ต่อมาวันที่ ๑๑ สิงหาคม๒๕๓๒ จำเลยมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ ขณะโจทก์เป็นพนักงานของจำเลย จำเลยมีข้อบังคับฉบับที่ ๓๑ ว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๑๙ ซึ่งโจทก์มีสิทธิได้รับเงินกองทุนสงเคราะห์เมื่อพ้นจากตำแหน่งตามข้อ ๗(๒) และข้อ ๘ ต่อมาจำเลยออกข้อบังคับฉบับที่ ๒๔ ว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๒๕ เป็นการตัดสิทธิของพนักงาน ข้อบังคับฉบับที่ ๒๔ จึงไม่มีผลใช้บังคับ โจทก์มีสิทธิได้รับเงินกองทุนสงเคราะห์ทั้งสิ้น ๑๑๐,๒๔๐ บาท ได้ทวงถามแล้วแต่จำเลยจ่ายไม่ครบขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินกองทุนสงเคราะห์จำนวน ๔๕,๒๔๔.๓๙ บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า กิจการของจำเลยไม่ได้มีวัตถุประสงค์แสวงกำไรในทางเศรษฐกิจ จึงไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานและกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ ข้อบังคับฉบับที่ ๓๑ ถูกยกเลิกและใช้ข้อบังคับฉบับที่ ๒๔ ที่กำหนดขึ้นใหม่ ซึ่งไม่ตัดสิทธิโจทก์แต่ประการใด เมื่อคำนวณหักค่าชดเชยที่จำเลยจ่ายให้โจทก์ไปแล้วโจทก์คงมีสิทธิได้รับเงินกองทุนสงเคราะห์เพียง ๖๔,๙๙๕.๖๑ บาทซึ่งจำเลยจ่ายให้ครบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
วันนัดพิจารณาคู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่า ข้อบังคับฉบับที่ ๓๑ และฉบับที่ ๒๔ ตามฟ้อง มิได้เกิดจากการแจ้งข้อเรียกร้องแต่จำเลยกำหนดขึ้นเองทั้งสองฉบับ
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงกำไรในทางเศรษฐกิจ ต้องอยู่ภายใต้บังคับกฎหมายคุ้มครองแรงงานและกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ ข้อบังคับจำเลยฉบับที่ ๒๔ ไม่มีผลใช้บังคับแก่โจทก์ พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๔๕,๒๔๔.๓๙ บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า วัตถุประสงค์ของจำเลยที่บัญญัติไว้ตามพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๖ นั้นเห็นได้อยู่ในตัวว่าเป็นการแสวงกำไรในทางเศรษฐกิจ โดยไม่ต้องให้ผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญในทางเศรษฐศาสตร์มาให้ความเห็น เพราะเป็นเรื่องการแปล กฎหมายไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานต้องฟังความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ และปรากฏว่าโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยตั้งแต่ข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ ๓๑ ว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์พ.ศ. ๒๕๑๙ ซึ่งเป็นฉบับเดิมใช้บังคับ ต่อมาจำเลยได้ปรับปรุงข้อบังคับว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์ใหม่ คือฉบับที่ ๒๔ โดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ ตามข้อบังคับเดิมคือฉบับที่ ๓๑ นั้น พนักงานหรือลูกจ้างของจำเลยที่พ้นจากตำแหน่งเพราะถูกเลิกจ้าง ลาออกหรือตาย ก็มีสิทธิได้รับเงินจากกองทุนสงเคราะห์และเงินจากกองทุนสงเคราะห์นี้มิใช่ค่าชดเชยเพราะมีหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายแตกต่างไปจากค่าชดเชย ดังนั้น ตามข้อบังคับเดิมนอกจากโจทก์จะมีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานแล้ว โจทก์ยังมีสิทธิจะได้รับเงินจากกองทุนสงเคราะห์ด้วย โดย มิต้องนำค่าชดเชยมาหักจากเงินที่จะได้รับจากกองทุนสงเคราะห์ตามข้อบังคับว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์ฉบับเดิม ส่วนข้อบังคับฉบับที่ ๒๔ ที่จำเลยแก้ไขใหม่นั้นกำหนดว่า พนักงานที่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์ตามข้อบังคับนี้ เว้นแต่ค่าชดเชย ที่มีสิทธิได้รับนั้นมีจำนวนต่ำกว่าเงินสงเคราะห์ก็ จะจ่ายเพิ่มให้เท่าจำนวนที่ต่ำกว่านั้น ซึ่งหมายความว่า หากค่าชดเชยที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับตามกฎหมายมีจำนวนมากกว่าหรือเท่ากับเงินสงเคราะห์ตามข้อบังคับนี้ลูกจ้างก็ไม่มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์เลย เห็นได้ว่าข้อบังคับฉบับที่ ๒๔ ที่จำเลยแก้ไขใหม่นั้นทำให้สิทธิของโจทก์ที่มีอยู่ตามข้อบังคับเดิมลดลงไป เมื่อจำเลยแก้ไขโดยโจทก์มิได้ยินยอมด้วยจึงไม่มีผลผูกพันโจทก์ สิทธิของโจทก์ในเรื่องเงินกองทุนสงเคราะห์จึงต้องใช้บังคับตามข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่๓๑ ว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๑๙ ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินกองทุนสงเคราะห์ส่วนที่ขาดแก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน.

Share