แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ศาลภาษีอากรกลางให้เหตุผลในการลดเบี้ยปรับว่าโจทก์ไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงการชำระภาษีและให้ความร่วมมือแก่ศาลในการพิจารณาคดี หาใช่เพราะโจทก์ให้ความร่วมมือแก่ศาลในการพิจารณาคดีแต่เพียงประการเดียว แม้โจทก์จะมิได้นำพยานมาสืบในประเด็นนี้ก็ตาม แต่ศาลภาษีอากรก็มีอำนาจนำข้อเท็จจริงจากเอกสารของจำเลยในสำนวนคือรายงานการพิจารณาอุทธรณ์ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปีภาษี2536 ถึง 2539 รายของโจทก์ ที่เจ้าพนักงานของจำเลยให้ความเห็นในประเด็นที่โจทก์ของดหรือลดเบี้ยปรับว่า พฤติการณ์ของโจทก์ไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี แต่เกิดจากความสำคัญผิดและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ในข้อกฎหมายมาประกอบดุลพินิจในการพิจารณางดหรือลดเบี้ยปรับด้วย
แม้ประมวลรัษฎากร มาตรา 27 ทวิ จะให้อำนาจแก่อธิบดีกรมสรรพากรวางระเบียบในการงดหรือลดเบี้ยปรับออกมาใช้ แต่ก็เป็นเพียงระเบียบที่เจ้าพนักงานประเมินจะต้องถือปฏิบัติไม่มีผลผูกพันศาลให้ต้องปฏิบัติตามระเบียบเช่นว่านั้น ศาลจึงมีอำนาจพิจารณาว่าการที่เจ้าพนักงานงดหรือลดเบี้ยปรับมานั้นถูกต้องตามระเบียบหรือไม่ และมีอำนาจที่จะงดหรือลดเบี้ยปรับได้เองในกรณีที่มีเหตุอันสมควรอีกด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับนายโอภาส ครุสุพร เป็นเจ้าของร่วมในที่ดินโฉนดเลขที่ 11984 และ 47227 ตำบลคลองตัน อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ประกอบกิจการให้เช่าห้องซึ่งมี 100 ห้องในทรัพย์สินดังกล่าว โจทก์เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีละ 2 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2525 ในเดือนสิงหาคม 2541โจทก์ได้รับหนังสือของจำเลยที่ กค.0824 ลงวันที่ 27 สิงหาคม2541 เตือนให้ไปชำระภาษีอากรที่ค้างชำระตั้งแต่ปีภาษี 2536ถึง 2539 ตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ 01004371/1/100527 ถึง 01004371/1/100534 ลงวันที่ 14กรกฎาคม 2541 ของสำนักงานสรรพากรเขตราชเทวี (สาขา) โจทก์เห็นว่าการประเมินไม่ถูกต้องจึงอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์พิจารณาแล้วลดค่าภาษีโดยคำนวณรายได้ของโจทก์จากค่าเช่าห้องเพียง75 ห้อง และลดเบี้ยปรับให้เก็บเพียงร้อยละ 50 โจทก์เห็นว่ายังไม่ถูกต้องและสูงกว่ารายได้จริงของโจทก์ ทั้งมิได้หักค่าเสื่อมสภาพของทรัพย์สินที่ให้เช่าและค่าซ่อมแซม โจทก์ไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงการเสียภาษี ขอให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือประเมินเลขที่01004371/1/100527 ถึง 01004371/1/100534 ลงวันที่ 14กรกฎาคม 2541 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามหนังสือเลขที่ สภ.2 (อธ.3.2/14.1/ ถึง 14.8/3/43)กับงดเบี้ยปรับเงินเพิ่ม
จำเลยให้การว่า เจ้าพนักงานประเมินคิดคำนวณหักค่าใช้จ่ายให้เป็นการเหมาในอัตราร้อยละ 30 ตามมาตรา 5(1)(ก) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักออกจากเงินได้พึงประเมิน (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502การประเมินรายได้จากค่าเช่าและการหักค่าใช้จ่ายจึงชอบแล้ว กรณีไม่มีเหตุงดหรือลดเบี้ยปรับเงินเพิ่ม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ให้ลดเบี้ยปรับคงให้เจ้าพนักงานเรียกเก็บร้อยละ 30 ของเบี้ยปรับตามกฎหมายคำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยมีว่า การที่ศาลภาษีอากรกลางลดเบี้ยปรับให้โจทก์คงให้เรียกเก็บร้อยละ 30 ของเบี้ยปรับตามกฎหมายเป็นการชอบหรือไม่ จำเลยอุทธรณ์ปัญหาข้อนี้ว่า การที่ศาลภาษีอากรกลางใช้ดุลพินิจลดเบี้ยปรับลงอีกเหลือเพียงร้อยละ 30 ของเบี้ยปรับตามกฎหมายโดยให้เหตุผลว่า เพราะโจทก์ให้ความร่วมมือแก่ศาลในการพิจารณาคดีมิใช่เป็นการลดโดยอาศัยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพฤติการณ์ของผู้มีหน้าที่เสียภาษีตั้งแต่ชั้นการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า ศาลภาษีอากรกลางให้เหตุผลในการลดเบี้ยปรับว่า เพราะโจทก์ไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงการชำระภาษีและให้ความร่วมมือแก่ศาลในการพิจารณาคดี หาใช่เพราะโจทก์ให้ความร่วมมือแก่ศาลในการพิจารณาคดีแต่เพียงประการเดียวไม่ปรากฏจากรายงานการพิจารณาอุทธรณ์ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี 2536 ถึง 2539 รายของโจทก์ตามเอกสารหมาย ล.2 แผ่นที่ 39ข้อ 5.2 ว่า เจ้าพนักงานของจำเลยให้ความเห็นในประเด็นที่โจทก์ของดหรือลดเบี้ยปรับว่า พฤติการณ์ของโจทก์ไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีแต่อย่างใด แต่เกิดจากความสำคัญผิดและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ในข้อกฎหมายประกอบกับคณะบุคคลได้ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบไต่สวนในชั้นตรวจสอบภาษีอากร จึงพิจารณาลดเบี้ยปรับให้… ดังนั้น แม้โจทก์จะไม่ติดใจสืบพยาน แต่ศาลภาษีอากรกลางก็มีอำนาจนำข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากเอกสารของจำเลยดังกล่าวในสำนวนมาประกอบดุลพินิจในการพิจารณางดหรือลดเบี้ยปรับได้ที่จำเลยอ้างว่าการลดเบี้ยปรับให้แก่ผู้เสียภาษีอากรต้องเป็นไปตามระเบียบของอธิบดีกรมสรรพากรที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 27 ทวิ วรรคสอง นั้น เห็นว่า แม้บทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวจะให้อำนาจแก่อธิบดีกรมสรรพากรวางระเบียบในการงดหรือลดเบี้ยปรับออกมาใช้แต่ก็เป็นเพียงระเบียบที่เจ้าพนักงานประเมินจะต้องถือปฏิบัติ ไม่มีผลผูกพันศาลให้ต้องปฏิบัติตามระเบียบเช่นว่านั้น ศาลมีอำนาจพิจารณาว่าการที่เจ้าพนักงานงดหรือลดเบี้ยปรับมานั้นถูกต้องตามระเบียบหรือไม่ และมีอำนาจที่จะงดหรือลดเบี้ยปรับได้เองในกรณีที่มีเหตุอันสมควรอีกด้วย เมื่อโจทก์ไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงการชำระภาษีจึงไม่ควรต้องเสียเบี้ยปรับในอัตราสูงนัก และเบี้ยปรับตามกฎหมายที่โจทก์จะต้องเสียมีจำนวนถึง 2 เท่าของจำนวนเงินภาษี การที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ให้โจทก์เสียเบี้ยปรับในอัตราร้อยละ 50 ของเบี้ยปรับตามกฎหมายซึ่งยังคงมีจำนวนเท่ากับจำนวนเงินภาษีจึงยังเป็นอัตราที่สูงไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ การที่ศาลภาษีอากรกลางลดเบี้ยปรับลงคงให้เรียกเก็บอัตราร้อยละ 30 ของเบี้ยปรับตามกฎหมาย จึงมิใช่อัตราที่ต่ำเกินไปนับว่าเป็นการชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน