คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2537/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทำเสาไฟฟ้าคอนกรีตอัดแรงส่งแก่การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สัญญาที่โจทก์ทำกับการไฟฟ้าทั้งสองระบุว่าเป็นหนังสือสัญญาซื้อขาย ข้อความในหนังสือสัญญาแสดงให้เห็นว่าคู่สัญญามีเจตนามุ่งจะให้มีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์เพื่อตอบแทนการ ใช้ราคา มิได้มุ่งหวังในผลสำเร็จในการงานแม้ข้อความในสัญญาจะได้กำหนดคุณสมบัติและลักษณะทรัพย์ที่จะต้องส่งมอบว่าจะต้องเป็นไปตามแบบและรายการแนบท้ายสัญญา ก็เห็นได้ว่าเป็นการกำหนดรายละเอียดไว้เป็นเงื่อนไขในการรับซื้อ สัญญาดังกล่าวจึงเข้าลักษณะสัญญาซื้อขายหาใช่สัญญาจ้างทำของไม่
โจทก์นำลวดเหล็กเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อใช้ในการผลิตเสาไฟฟ้าคอนกรีตอัดแรงเพื่อขาย มิใช่สั่งลวดเหล็กนั้นเข้ามาเพื่อขาย โจทก์จึงมิใช่ผู้ประกอบการค้าตามความหมายในประมวลรัษฎากรมาตรา 77 โจทก์ไม่ต้องเสียภาษีการค้าตามความหมายในประมวลรัษฎากรมาตรา 77 ไม่ต้องเสียภาษีการค้าตามที่ระบุในบัญชีอัตราภาษีการค้าและรายการที่ประกอบการค้าตามมาตรา 78 วรรคแรก และโจท์ไม่ต้องเสียภาษีการค้าในกรณีให้ถือว่าโจทก์ซึ่งเป็นผู้นำเข้าเป็นผู้ประกอบการค้าตามมาตรา 78 วรรคสอง (อ้างฎีกาที่ 1606/2512) กรณีนี้โจทก์จึงไม่ต้องเสียภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล
กรณีเรื่องภาษีอากรอยู่ในอำนาจหน้าที่และการควบคุมของกรมสรรพากรตามประมวลรัษฎากรมาตรา 5 ดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องกรมสรรพากรเป็นจำเลยและเมื่อศาลเห็นว่าคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่ กรมสรรพากรจำเลยยกขึ้นอ้างอิงเพื่อเรียกเก็บ ภาษีจากโจทก์ไม่ถูกต้องตามกฎหมายไม่ว่าคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จะถูกฟ้องเป็นจำเลยหรือไม่ ศาลย่อมมีอำนาจไม่ใช้บังคับตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ หรือให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เสียได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์สั่งและนำลวดเหล็กเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อใช้ในการผลิตเสาคอนกรีตอัดแรงขาย จึงได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีการค้าและภาษีเทศบาล แต่เจ้าพนักงานประเมินภาษีการค้าที่ทำการศุลกากรกรุงเทพฯ ได้ประเมินเรียกเก็บภาษีการค้าแก่ของที่โจทก์นำเข้าดังกล่าว จึงขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
จำเลยให้การว่า โจทก์จดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการค้าและสินค้าตามฟ้องเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อใช้ผลิตเสาคอนกรีตอัดแรงตามที่ โจทก์รับจ้างทำของให้แก่การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคผู้ว่าจ้าง ต้องเสียภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาว่าโจทก์สั่งลวดเหล็กตามฟ้องทั้ง ๔ รายการเข้ามาเพื่อผลิตเสาไฟฟ้าคอนกรีตอัดแรงให้แก่การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคตามที่โจทก์รับจ้างทำของ หาได้ผลิตเป็นสินค้าขายตามปกติทั่ว ๆ ไปไม่จึงต้องเสียภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลนั้น เห็นว่าสัญญาที่บริษัทโจทก์ทำกับการไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคตามเอกสารที่โจทก์จำเลยอ้างส่งศาล นอกจากระบุไว้ชัดว่าเป็นหนังสือสัญญาซื้อขายแล้ว ข้อความในหนังสือสัญญาดังกล่าวก็เป็นที่เห็นได้ว่าคู่สัญญามีเจตนามุ่งจะให้มีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์เพื่อตอบแทน การใช้ราคาอันเข้าลักษณะสัญญาซื้อขาย คู่สัญญาหาได้มุ่งหวังในผลสำเร็จในการงานไม่แม้ข้อความในสัญญาจะได้กำหนดเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะของ ทรัพย์ที่จะต้องส่งมอบว่าจะต้องเป็นไปตามแบบและรายการแนบท้ายสัญญา ก็เห็นได้ว่าเป็นการกำหนดรายละเอียดไว้เป็นเงื่อนไขในการรับซื้อ เข้าลักษณะสัญญาซื้อขายนั้นเองหาใช่เป็นสัญญาจ้างทำของดังข้อฎีกาของจำเลยไม่ เมื่อโจทก์นำลวดเหล็กตามฟ้องเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อใช้ในการผลิตเสาไฟฟ้าคอนกรีตอัดแรงเพื่อขาย มิใช่สั่งลวดเหล็กตามฟ้องมาเพื่อขาย โจทก์ก็ไม่ใช่ผู้ประกอบการค้าตามความหมายในประมวลรัษฎากรมาตรา ๗๗ โจทก์ไม่ต้องเสียภาษีการค้าตามที่ระบุในบัญชีอัตราภาษีการค้าและรายการที่ประกอบการค้าตามมาตรา ๗๘ วรรคแรก และโจทก์ไม่ต้องเสียภาษีการค้าในกรณี ให้ถือว่าโจทก์ซึ่งเป็นผู้นำเข้าเป็นผู้ประกอบการค้าตามมาตรา ๗๘ วรรคสองโดยนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๖๐๖/๒๕๑๒ คดีระหว่างบริษัทกระเบื้องกระดาษไทย จำกัด โจทก์ กรมสรรพากรกับพวกจำเลย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ กรณีนี้โจทก์ไม่ต้องเสียภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลตามฟ้อง
จำเลยฎีกาว่า โจทก์ชอบที่จะฟ้องคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่โจทก์มาฟ้องจำเลยโดยจำเลยไม่มีส่วนโต้แย้งสิทธิและหน้าที่ของ โจทก์เช่นนี้ไม่ถูกต้องและศาลจะบังคับให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้อื่นซึ่งจำเลยมิได้เป็นผู้ก่อหรือกระทำแก่โจทก์ด้วย ย่อมบังคับไม่ได้นั้นเรื่องนี้ประมวลรัษฎากร มาตรา ๕ บัญญัติว่า “ภาษีอากรซึ่งบัญญัติไว้ในลักษณะนี้ให้อยู่ในอำนาจหน้าที่และการควบคุมของกรมสรรพากร” เมื่อปรากฏว่ามูลกรณีเรื่องภาษีอากรในคดีนี้อยู่ในกรอบอำนาจหน้าที่และการควบคุมของจำเลย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ และเมื่อศาลเห็นว่าคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่จำเลยยกขึ้นอ้างอิงเพื่อเรียกเก็บภาษีจากโจทก์นั้นไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ว่าคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จะถูกฟ้องเป็นจำเลยหรือไม่ศาลย่อมมีอำนาจไม่ให้บังคับตามคำวินิจฉัยของคณะ กรรมการพิจารณาอุทธรณ์ หรือให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์นั้นเสียได้
พิพากษายืน

Share