คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6067/2552

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดีว่า ในที่ดินจำเลยทั้งสองไม่มีส่วนใดที่มีการใช้เป็นทางเดินเข้าออกและจำเลยทั้งสองไม่เคยยินยอมให้ใช้ที่ดินจำเลยทั้งสองเป็นทางเข้าออกด้วย คดีจึงมีประเด็นเพียงว่าโจทก์ทั้งสี่และชาวบ้านได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางเข้าออกถนนสาธารณะหรือไม่ ดังนั้น ที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า จำเลยทั้งสองเอื้อเฟื้อให้โจทก์ทั้งสี่ใช้ทางพิพาทเดินเข้าออกสู่ถนนสาธารณะ จึงเป็นการอุทธรณ์นอกประเด็นข้อต่อสู้ในคำให้การ และที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า ฟ้องโจทก์ทั้งสี่เป็นฟ้องเคลือบคลุมเพราะไม่แน่ชัดว่าโจทก์ฟ้องเรื่องภาระจำยอมหรือทางสาธารณะนั้น จำเลยทั้งสองไม่ได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การ และมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองในปัญหาดังกล่าวจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง
ในขณะชาวบ้านในหมู่บ้านช่วยกันทำทางพิพาทในปี 2535 จำเลยทั้งสองรู้เห็นยินยอม และหลังจากทำทางพิพาทแล้ว จำเลยทั้งสองก็ได้ใช้ประโยชน์ในทางพิพาทร่วมกับชาวบ้านในหมู่บ้านซึ่งรวมถึงโจทก์ทั้งสี่ด้วย ในสภาพและลักษณะการใช้งาน ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนายกทางพิพาทในส่วนที่อยู่ในเขตที่ดินของจำเลยทั้งสองเป็นทางสาธารณะร่วมกับทางพิพาทในส่วนที่อยู่ในเขตที่ดินของ ส. แล้วโดยปริยาย โดยไม่ต้องมีการทำเป็นหนังสือหรือจดทะเบียนการยกให้ต่อเจ้าหน้าที่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ทางพิพาทเป็นทางสาธารณะ จำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิปิดกั้น

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสี่ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 17542 ของจำเลยทั้งสองกับที่ดินโฉนดเลขที่ 41641 อยู่ติดกันและอยู่ติดถนนสาธารณะ ที่ดินโฉนดเลขที่ 46992 ของโจทก์ที่ 1 และ 17536 ของโจทก์ที่ 3 อยู่ถัดจากที่ดินของจำเลยทั้งสองและที่ดินโฉนดเลขที่ 41641 ไปด้านในไม่มีทางออกสู่ถนนสาธารณะ นางทองคำและนายสมบัติเจ้าของเดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 41641 ยินยอมให้โจทก์ทั้งสี่และประชาชนทั่วไปเดินผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 41641 สู่ถนนสาธารณะเป็นเวลาหลายปี ต่อมาวันที่ 8 สิงหาคม 2535 นางทองคำและนายสมบัติได้ทำบันทึกยกที่ดินส่วนที่โจทก์ทั้งสี่และประชาชนทั่วไปใช้เป็นทางเดินดังกล่าวให้โจทก์ทั้งสี่ทำเป็นถนนกว้าง 3 เมตร ยาว 120 เมตร จำเลยทั้งสองไม่ได้คัดค้านและยังยอมรับแนวเขตที่ดินโดยปลูกต้นยูคาลิปตัสกั้นแนวเขตเป็นแนวยาวตลอดทางดังกล่าว ปรากฏตามภาพถ่ายทางพิพาทและแนวเขตต้นยูคาลิปตัส ต่อมาเดือนกันยายน 2544 จำเลยทั้งสองปักหลักไม้เป็นแนวจากมุมทางพิพาทด้านที่ติดกับที่ดินจำเลยทั้งสองและติดถนนสาธารณะผ่านทางพิพาทไปจนจดปลายทางพิพาทฝั่งตรงข้ามและขึงลวดหนามปิดกั้นทางพิพาทด้านที่ติดกับที่ดินโจทก์ รวมเป็นเนื้อที่ประมาณ 120 ตารางวา โดยจำเลยทั้งสองโต้แย้งว่าที่ดินส่วนที่จำเลยทั้งสองปักหลักไม้รุกล้ำดังกล่าวเป็นของจำเลยทั้งสอง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนหลักไม้และลวดหนามออกจากทางพิพาทและปรับทางพิพาทให้คืนสู่สภาพเดิม ห้ามจำเลยทั้งสองเกี่ยวข้องกับทางพิพาทต่อไป
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองทำรั้วกั้นตามแนวเขตที่ดินจำเลยทั้งสองมานานหลายปีแล้ว มิใช่เพิ่งทำขึ้นตามที่โจทก์ฟ้อง ต้นยูคาลิปตัสไม่ได้เป็นแนวเขตที่ดินในที่ดินจำเลยทั้งสอง ไม่มีส่วนใดที่มีการใช้เป็นทางเดินเข้าออกและจำเลยทั้งสองไม่เคยยินยอมให้ใช้ที่ดินจำเลยทั้งสองเป็นทางเข้าออกด้วย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนหลักไม้ (หลัก ล.ร.) ที่ปักรุกล้ำทางพิพาทตามแนวเส้นสีเขียวในแผนที่พิพาท พร้อมรื้อถอนลวดหนามที่ปิดกั้นทางพิพาทออกไป และให้จำเลยทั้งสองปรับทางพิพาทให้สู่สภาพเดิม ห้ามเกี่ยวข้องกับทางพิพาทอีกต่อไป ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสี่โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้ยกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ให้จำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากนี้ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการแรกว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้ยกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองนั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดีเพียงว่า ในที่ดินจำเลยทั้งสองไม่มีส่วนใดที่มีการใช้เป็นทางเดินเข้าออกและจำเลยทั้งสองไม่เคยยินยอมให้ใช้ที่ดินจำเลยทั้งสองเป็นทางเข้าออกด้วย คดีจึงมีประเด็นเพียงว่าโจทก์ทั้งสี่และชาวบ้านได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางเข้าออกถนนสาธารณะหรือไม่ ดังนั้น ที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า จำเลยทั้งสองเอื้อเฟื้อให้โจทก์ทั้งสี่ใช้ทางพิพาทเดินเข้าออกสู่ถนนสาธารณะจึงเป็นการอุทธรณ์นอกประเด็นข้อต่อสู้ในคำให้การ และที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่าฟ้องโจทก์ทั้งสี่เป็นฟ้องเคลือบคลุมเพราะไม่แน่ชัดว่าโจทก์ฟ้องเรื่องภาระจำยอมหรือทางสาธารณะนั้น จำเลยทั้งสองไม่ได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การ และมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองในปัญหาดังกล่าวจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย แต่นอกเหนือจากปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองดังกล่าวแล้ว จำเลยทั้งสองได้อุทธรณ์โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในประเด็นที่ว่า จำเลยทั้งสองมีเจตนายกทางพิพาทในส่วนที่อยู่ในเขตที่ดินของจำเลยทั้งสองให้เป็นทางสาธารณะหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองในปัญหาดังกล่าวจึงไม่ชอบ เมื่อจำเลยฎีกาต่อมาศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองดังกล่าวไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยใหม่
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองมีเจตนายกทางพิพาทในส่วนที่อยู่ในเขตที่ดินของจำเลยทั้งสองเป็นทางสาธารณะหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ทั้งสี่มีโจทก์ทั้งสี่ นางทองคำภริยาของนายสมบัติเจ้าของที่ดินส่วนที่เป็นทางพิพาทเดิม และนายสุบินผู้ใหญ่บ้าน เบิกความยืนยันข้อเท็จจริงเป็นทำนองเดียวกันว่าทางพิพาทโดยสภาพและลักษณะการใช้งานเป็นทางสาธารณะที่ชาวบ้านในหมู่บ้านใช้ไปมาหาสู่และใช้ทำประโยชน์มาตลอดนานหลายสิบปีแล้ว จนถึงปี 2534 นายสมบัติเจ้าของที่ดินทำหนังสือยกที่ดินส่วนตนเป็นถนนกว้าง 3 เมตร ยาว 120 เมตรและชาวบ้านได้มาร่วมกันช่วยทำถนนคือทางพิพาทนี้ โดยจำเลยทั้งสองได้มาร่วมรับรู้ด้วย หลังจากนั้นชาวบ้านในหมู่บ้านซึ่งรวมถึงโจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งสองก็ได้ร่วมกันใช้ประโยชน์ในทางพิพาทนี้ตลอดมา จนกระทั่งเกิดเหตุเมื่อปี 2544 จำเลยทั้งสองมีเหตุขัดแย้งกับโจทก์ทั้งสี่ด้วยเรื่องที่จำเลยที่ 1 ใช้รถไถในทางพิพาทแล้วทำท่อประปาที่ฝังอยู่ในทางพิพาทจากวัดไปบ้านของโจทก์ที่ 4 แตก จำเลยที่ 1 รับว่าจะซ่อมให้แต่ไม่ทันได้ซ่อม โจทก์ที่ 4 ไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจ จำเลยทั้งสองไม่พอใจจึงปิดทางพิพาท ส่วนจำเลยทั้งสองนำสืบยอมรับว่าขณะมีการทำถนนเป็นทางพิพาท จำเลยทั้งสองรู้เห็นยินยอมให้ทำได้โดยไม่ทักท้วง จนเมื่อเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ทำท่อประปาของโจทก์ที่ 4 แตก และจำเลยที่ 1 จะซ่อมให้แต่ยังไม่ได้ซ่อมก็ถูกโจทก์ที่ 4 แจ้งความร้องทุกข์ จำเลยที่ 1 จึงขอรังวัดสอบเขต และต่อมาจึงปิดทางพิพาทในส่วนที่อยู่ในเขตที่ดินของจำเลยทั้งสอง ดังนี้ เห็นว่า ในขณะชาวบ้านในหมู่บ้านช่วยกันทำทางพิพาทในปี 2535 จำเลยทั้งสองรู้เห็นยินยอม และหลังจากทำทางพิพาทแล้ว จำเลยทั้งสองก็ได้ใช้ประโยชน์ในทางพิพาทร่วมกับชาวบ้านในหมู่บ้านซึ่งรวมถึงโจทก์ทั้งสี่ด้วย ในสภาพและลักษณะการใช้งานถือได้ว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนายกทางพิพาทในส่วนที่อยู่ในเขตที่ดินของจำเลยทั้งสองเป็นทางสาธารณะร่วมกับทางพิพาทในส่วนที่อยู่ในเขตที่ดินของนายสมบัติแล้วโดยปริยายโดยไม่ต้องมีการทำเป็นหนังสือจดทะเบียนการยกให้ต่อเจ้าหน้าที่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ทางพิพาทเป็นทางสาธารณะจำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิปิดกั้น คำพิพากษาศาลชั้นต้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share