แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารไม่ว่าผู้เยาว์จะเต็มใจไปด้วยหรือไม่ก็เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา การที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร แม้ไม่ได้บรรยายว่าผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยหรือไม่ ก็ถือว่าเป็นฟ้องที่ชอบตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 318
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ฟ้องโจทก์ครบองค์ประกอบความผิดในข้อสาระสำคัญหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า องค์ประกอบความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจารที่ว่า ผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยถือเป็นองค์ประกอบในข้อสาระสำคัญนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกับพวกโดยไม่มีเหตุอันสมควรร่วมกันพราก นางสาวนวพร อายุ 16 ปีเศษ (เกิดวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2532) ไปเสียจากนางสุนัน ซึ่งเป็นมารดา ผู้ปกครอง ผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 318 แม้โจทก์ไม่ได้บรรยายในฟ้องว่าผู้เยาว์เต็มใจหรือไม่ก็ตาม ก็ถือได้ว่าฟ้องของโจทก์พอเข้าใจได้แล้วว่าโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยฐานพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร เพราะการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารไม่ว่าผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยหรือไม่ก็เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ดังนี้ ฟ้องโจทก์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน