คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 253/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อเท็จจริงที่ศาลวินิจฉัยชี้ขาดถึงที่สุดแล้วในคดีก่อนซึ่งโจทก์จำเลยเป็นความกันนั้น ย่อมรับฟังยันโจทก์จำเลยในคดีหลังได้ แม้ประเด็นทั้งสองคดีจะต่างกัน
จำเลยลงลายพิพม์นิ้วมือในหนังสือข้อตกลงยอมให้เงินแก่โจทก์จำนวนหนึ่ง เพื่อเป็นการชดเชยในการที่โจทก์ไม่ได้ทำประโยชน์ในที่ดินที่เช่าเต็มทั้งแปลงตามกำหนดเวลาที่ได้จดทะเบียนไว้แล้ว ข้อตกลงเช่นนี้มีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนชนิดหนึ่งซึ่งกฎหมายมิได้บังคับให้ทำเป็นหนังสือ แม้ลายพิมพ์นิ้วมือนั้นไม่มีพยานรับรองไว้สองคน ศาลก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
การฟ้องบังคับตามข้อตกลงดังกล่าวอยู่ภายใต้อายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164
ข้อเท็จจริงที่ไม่ได้เป็นประเด็นว่ากล่าวกันมาแต่ศาลชั้นต้นจะยกขึ้นฎีกาไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๑๒ จำเลยได้ตกลงให้โจทก์เช่าที่ดินโฉนดที่ ๑๘๕๔ ตำบลบางมด เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพฯ เนื้อที่ประมาณ ๑๐ ไร่ มีกำหนด ๑๒ ปี ค่าเช่าปีละ ๕,๐๐๐ บาท หลังจากจดทะเบียนการเช่าได้ปีเศษ จำเลยประสงค์จะขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้บุคคลภายนอก จำเลยขอให้โจทก์ไปทำสัญญาเพิกถอนสัญญาเช่า โดยจะให้เงินโจทก์ ๑๒๐,๐๐๐ บาทเป็นการตอบแทน ต่อมาวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๑๓ จำเลยได้ขายที่ดินดังกล่าวให้นางสาววรรณศรีเฉพาะส่วนเนื้อที่ ๕ ไร่ ในราคา ๗๕๐,๐๐๐ บาท โจทก์ได้ทำสัญญาเพิกถอนสัญญาเช่าเฉพาะส่วนที่จำเลยแบ่งขาย จำเลยตกลงให้เงินตอบแทนแก่โจทก์เพียง ๗๕,๐๐๐ บาท โดยได้จ่ายให้โจทก์แล้ว ๑๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือ ๖๕,๐๐๐ บาท จำเลยว่าจะจ่ายให้เมื่อได้รับเงินค่าที่ดินจากผู้ซื้อแล้ว จำเลยได้รับเงินจากผู้ซื้อแล้ว แต่ไม่ยอมชำระเงินส่วนที่เหลือแก่โจทก์ จึงขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน ๖๕,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีถึงวันฟ้องเป็นทั้งต้นและดอกเบี้ย ๘๐,๔๓๗.๕๐ บาท กับดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ได้เช่าที่ดินจำเลย ๑๐ ไร่ ต่อมาเมื่อประมาณปีเศษ (ก่อนฟ้อง) จำเลยจะขายที่ดินแปลงดังกล่าว ได้ตกลงให้โจทก์และสามีเป็นนายหน้า ค่าบำเหน็จร้อยละ ๕ ของราคาที่ดินที่ขายได้ และโจทก์จะต้องไปจดทะเบียนเพิกถอนการเช่าให้ด้วย จำเลยขายที่ดินเพียง ๕ ไร่เป็นเงิน ๗๕๐,๐๐๐ บาท เป็นค่านายหน้า ๓๗,๕๐๐ บาท โจทก์รับค่านายหน้าไปแล้ว ๑๐,๐๐๐ บาท ต่อมาโจทก์เรียกค่านายหน้าเกินกว่าที่ตกลงกัน โจทก์ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าที่ดิน ๒ ปี จำเลยจึงฟ้องโจทก์ปรากฏตามคดีหมายเลขแดงที่ ๖๒๘๐/๒๕๑๖ ของศาลแพ่ง จำเลยไม่เคยตกลงจ่ายค่าทดแทนให้โจทก์ เอกสารที่โจทก์อ้างว่าจำเลยทำให้นั้น ไม่มีพยานลงลายมือชื่อรับรองลายพิมพ์นิ้วมือ ๒ คน ไม่มีผลตามกฎหมาย เงินค่านายหน้าโจทก์เคยให้การในคดีก่อนว่าได้หักกลบลบหนี้กับค่าเช่าที่ค้างแล้ว โจทก์ฟ้องเกิน ๑ ปี ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ตามขอ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยเคยฟ้องขับไล่โจทก์หาว่าค้างชำระค่าเช่า ปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๖๒๘๐/๒๕๑๖ ของศาลแพ่ง คดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว โดยศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่านางเงินจำเลยได้ตกลงจ่ายค่าชดเชยให้นางเยื้อนโจทก์ ๗๕,๐๐๐ บาท ชำระแล้ว ๑๐,๐๐๐ บาท คงค้างอีก ๖๕,๐๐๐ บาท ที่จำเลยฎีกาว่าในคดีหมายเลขแดงที่ ๖๒๘๐/๒๕๑๖ โจทก์และจำเลยมิได้พิพาทกันด้วยเรื่องค่าชดเชยเหมือนคดีนี้ หากแต่พิพาทกันเรื่องโจทก์ (จำเลยคดีนี้) มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย (โจทก์คดีนี้) หรือไม่ คำพิพากษาในคดีดังกล่าวไม่ผูกพันโจทก์และจำเลยในคดีนั้น เห็นว่าข้อนำสืบของจำเลย (โจทก์คดีนี้) เกี่ยวกับเรื่องเงินตอบแทนหรือเงินชดเชยตามที่ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้นั้น เป็นปัญหาสู่ศาลฎีกาวินิจฉัยครั้งหนึ่งแล้วโดยฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวที่มาข้างต้น แม้ประเด็นทั้งสองคดีจะต่างกัน ก็หาทำให้คำวินิจฉัยเรื่องเงินตอบแทนหรือเงินชดเชยซึ่งเป็นประเด็นในคดีนี้เปลี่ยนแปลงไปไม่
ที่จำเลยฎีกาว่าลายพิมพ์นิ้วมือที่ทำลงในเอกสาร ล.๑ และ ล. ๒ ไม่มีพยานลงลายมือชื่อรับรองไว้สองคนตามกฎหมาย ไม่ผูกพันจำเลยนั้น คดีได้ความตามที่จำเลย (โจทก์คดีนั้น) เบิกความรับว่าได้ทำความตกลงกับโจทก์จำเลยคดีนั้นตามที่ปรากฎในเอกสาร ล.๑ จริงส่วนเอกสาร ล.๒ จำเลย ( โจทก์คดีนั้น )ก็เบิกความรับว่า นางสาวหวานจิตบุตรจำเลยเป็นคนเขียน ซึ่งก็น่าเชื่อว่านางสาวหวานจิตเขียนข้อความนั้นตามความประสงค์ของจำเลย ทั้งเมื่อพิจารณาเอกสาร ล. ๒ นี้ประกอบกับเอกสาร ล. ๑ แล้ว เป็นเรื่องจำเลยขอให้โจทก์ถอนสัญญาเช่าที่ดินเฉพาะส่วนที่จำเลยจะขายให้ นางสาววรรณศรี โดยจำเลยตกลงจะให้เงินแก่โจทก์จำนวนหนึ่ง เพื่อเป็นการชดเชยในการที่โจทก์ไม่ได้ทำประโยชน์ในที่ดินที่เช่าเต็มทั้งแปลงตามกำหนดเวลาที่ได้จดทะเบียนไว้แล้ว ข้อตกลงเช่นนี้จึงมีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนชนิดหนึ่งซึ่งกฎหมายมิได้บังคับให้ทำเป็นหนังสือ แม้ลายพิมพ์นิ้วมือที่ทำลงในเอกสาร ล.๑ และ ล. ๓ ไม่มีพยานลงลายมือชื่อรับรองไว้ด้วยสองคน ศาลก็รับฟังเอกสารสองฉบับนี้ได้
ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์มอบหมายให้ทนายความมีหนังสือทวงถามจำเลยตั้งแต่วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๑๕ จำเลยได้รับหนังสือแล้วโต้แย้งสิทธิเรื่อยมา โจทก์ไม่ฟ้องคดีภายใน ๑ ปี นับแต่วันที่โจทก์ทราบว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิ คดีโจทก์ขาดอายุความแล้วนั้นเห็นว่าการที่โจทก์ยอมถอนสัญญาเช่าตามที่จดทะเบียนไว้ก็เพราะจำเลยตกลงจะให้ค่าตอบแทนแก่โจทก์ แต่แล้วจำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยชำระเงินค่าตอบแทนตามข้อตกลงดังกล่าว การฟ้องขอให้ชำระเงินเช่นนี้ไม่อยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายใดว่าจะต้องฟ้องคดีภายใน ๑ ปี จึงต้องถือตามอายุความทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔ คือ ๑๐ ปี คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ
สำหรับฎีกาข้ออื่น ๆ ของจำเลยที่ว่า โจทก์ได้รับความเสียหายหรือไม่ ค่าเสียหายมากน้อยเพียงใด ควรเอาหนี้ที่โจทก์ค้างชำระค่าเช่าที่ดินกับหนี้ที่จำเลยค้างชำระค่าตอบแทน หรือค่าชดเชยมาหักกลบลบกันหรือไม่นั้น ข้อต่าง ๆ เหล่านี้มิใช่ประเด็นที่ว่ากล่าวกันมาแต่ศาลชั้นต้น ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน

Share