แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ผู้ร้องซึ่งเป็นภริยาและเป็นเจ้าของร่วมในเงินบำนาญอันเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลย มีสิทธิร้องขอแบ่งแยกส่วนของตนออกได้ พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 121 ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีสิทธิรับเงินบำนาญของลูกหนี้จากเจ้าหน้าที่ เพื่อรวบรวมแบ่งให้แก่เจ้าหนี้ แต่ต้องจ่ายค่าเลี้ยงชีพลูกหนี้และครอบครัวตามสมควรแก่ฐานานุรูป มิใช่ห้ามคู่สมรสของลูกหนี้ร้องขอกันส่วนเงินบำนาญอันเป็นสินสมรส ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา1466 ซึ่งใช้อยู่ในเวลานั้น
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยไว้ชั่วคราว และกระทรวงการคลังส่งเงินบำนาญของจำเลยไปให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รวบรวมไว้ในกองทรัพย์สินของลูกหนี้ ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขอแบ่งเงินบำนาญจำนวนดังกล่าวครึ่งหนึ่งในฐานะเป็นภริยาจำเลยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เห็นว่า มิใช่สินสมรสสั่งยกคำร้อง ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องต่อศาลว่าเงินบำนาญดังกล่าวได้มาระหว่างที่จำเลยกับผู้ร้องเป็นสามีภริยากันจึงเป็นสินสมรส ผู้ร้องมีสิทธิขอกันส่วนออกมาครึ่งหนึ่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าเงินบำนาญจำนวนดังกล่าวเป็นสินสมรส ผู้ร้องมีส่วนแบ่งในเงินจำนวนนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “มีประเด็นว่า เงินบำนาญของจำเลยจำนวน 299,915 บาท 47 สตางค์เป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยหรือไม่เห็นว่าเงินบำนาญจำนวนดังกล่าวเป็นเงินที่ได้มาระหว่าง จำเลยกับผู้ร้องเป็นสามีภริยากัน จึงเป็นสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1866 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น ส่วนผู้ร้องจะมีส่วนแบ่งเงินจำนวนนี้ได้หรือไม่เพียงใดนั้น ปรากฏว่าในขณะที่ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และยื่นคำร้องต่อศาลนั้น ศาลชั้นต้นยังมิได้พิพากษาให้จำเลยล้มละลายเพียงแต่มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยชั่วคราว ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดหลังจากผู้ร้องยื่นคำร้องคดีนี้และได้พิพากษาให้จำเลยล้มละลายในขณะคดีนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา เห็นว่า เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยนั้น ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483มาตรา 19 คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ให้ถือเสมือนว่าเป็นหมายของศาลให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ายึดบรรดาทรัพย์สินซึ่งอยู่ในความครอบครองของลูกหนี้ได้ทำนองเดียวกับการบังคับคดีแพ่ง ดังนั้นเมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยชั่วคราวและกระทรวงการคลังส่งเงินบำนาญของจำเลยไปให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รวบรวมไว้ในกองทรัพย์สินของลูกหนี้ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าของร่วมในเงินบำนาญอันเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลย ย่อมมีสิทธิร้องขอแบ่งแยก ส่วนของตนออกได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 287 ประกอบกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1483ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น การที่พระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483มาตรา 12 1 บัญญัติว่า เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้แล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีสิทธิรับเงินบำนาญของลูกหนี้จากเจ้าหน้าที่เพื่อรวบรวมแบ่งให้แก่เจ้าหนี้ได้ แต่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องจ่ายค่าเลี้ยงชีพลูกหนี้และครอบครัวตามสมควรแก่ฐานานุรูปนั้น เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการรวบรวมและจำหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้ หาใช่บทบัญญัติห้ามคู่สมรสของลูกหนี้ มิให้ร้องขอกันส่วนเงินบำนาญอันเป็นสินสมรสดังกล่าวมาแล้วไม่”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น