แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ร้องเคยยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนในโฉนดที่ดินเลขที่ 1417 ที่ผู้คัดค้านมีชื่อถือกรรมสิทธิ์โดยผู้ร้องได้แนบแผนที่สังเขปแสดงรูปลักษณะของที่ดินที่ผู้ร้องได้ครอบครองมา ท้ายคำร้องขอด้วย และศาลชั้นต้นก็ได้วินิจฉัยว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินแปลงตามคำร้องขอจนได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ครั้นผู้ร้องมายื่นคำร้องขอในคดีนี้ก็กล่าวในคำร้องขอว่าเป็นที่ดินที่ผู้ร้องได้ครอบครองอยู่ในขณะที่ยื่นคำร้องขอ ในคดีเดิม เมื่อที่พิพาทในคดีนี้เป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ดินที่ผู้ร้องร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ และศาลได้มีคำสั่งถึงที่สุดแล้วว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ตามคดีเดิม ฉะนั้น ที่ผู้ร้องมายื่นคำร้องขอเป็นคดีนี้อีกจึงเป็นการรื้อร้องเพื่อให้ศาลวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกับคดีก่อนนั่นเอง ถือว่าเป็นฟ้องซ้ำ
ปัญหาเรื่องฟ้องซ้ำ แม้จะไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นว่ากล่าว แต่เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลยกขึ้นวินิจฉัยเองได้.
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินที่เหลืออยู่อีก ๖ ไร่ ๘๓ ตารางวา ในโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๔๑๗ ตำบลบางปะกง(บางปะกงบน) อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา อย่างเป็นเจ้าของโดยความสงบและโดยเปิดเผยติดต่อกันตลอดมาเป็นเวลา ๒๐ ปีเศษขอศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๔๑๗ดังกล่าว โดยการครอบครองตามกฎหมาย
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๔๑๗ ผู้ร้องไม่เคยครอบครองที่ดินดังกล่าวขอให้ยกคำร้องขอ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ดำเนินคดีต่อไปอย่างคดีมีข้อพิพาทโดยให้เรียกผู้ร้องว่าโจทก์ ผู้คัดค้านว่าจำเลย เมื่อพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยโดยกำหนดค่าทนายความให้ ๒,๐๐๐ บาท
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้ผู้ร้องใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์๑,๕๐๐ บาท แทนผู้คัดค้าน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า เดิมที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๔๑๗ ตำบลบางปะกง (บางปะกงบน) อำเภอบางปะกงจังหวัดฉะเชิงเทรา มีเนื้อที่ประมาณ ๑๙ ไร่ ๓ งาน ๔๖ ตารางวาผู้คัดค้านได้ซื้อที่ดินโฉนดดังกล่าวจากนายบุญเหลือ ทองดี เมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๒๑ ปรากฏตามสารบัญจดทะเบียนโฉนดที่ดิเอกสารหมาย ล.๑ ต่อมาวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๒๒ ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นว่า ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินบางส่วนของโฉนดที่ดินดังกล่าวตามรูปที่ดินที่ระบายด้วยสีแดงในแผนที่ท้ายคำร้องขอ คำนวณเนื้อที่ได้ ๖ ไร่ โดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่า ๑๐ ปี ขอให้มีคำสั่งว่าที่ดินเฉพาะส่วนในโฉนดที่ดินดังกล่าวตามแผนที่ท้ายคำร้องขอระบายด้วยสีแดง เนื้อที่ ๖ ไร่ ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งลงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๒๒ ว่าผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินแปลงตามคำร้องขอ จำนวน ๖ ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินที่ไปทับที่ดินของผู้อื่น ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินด้วยความสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลา ๑๕ ปีที่ดินดังกล่าวจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ และให้แจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดฉะเชิงเทราทราบ คำสั่งถึงที่สุดปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๗๘/๒๕๒๒ ของศาลชั้นต้น เอกสารหมายจ.๒ ต่อมาเมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๒๕ นายวิจิตร์ แสงจันทร์ได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้น ขอให้มีคำสั่งว่าที่ดินเฉพาะส่วนในโฉนดที่ดินดังกล่าวทางทิศใต้เนื้อที่ ๗ ไร่ ๓ งาน ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายวิจิตร์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ให้แจ้งคำสั่งไปยังเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดฉะเชิงเทรา คำสั่งถึงที่สุด ปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๔๒๕/๒๕๒๕ ของศาลชั้นต้นเอกสารหมาย จ.๖ หลังจากนั้น ผู้ร้องและนายวิจิตร์ได้ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดฉะเชิงเทราทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินส่วนของตนตามคำสั่งศาลชั้นต้น เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดฉะเชิงเทราได้ดำเนินการแบ่งแยกที่ดินให้แก่ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทางด้านทิศเหนือ เนื้อที่ ๖ ไร่ แล้วออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๙๔๕๗ตำบลบางปะกง (บางปะกงบน) อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทราให้แก่ผู้ร้อง ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.๔ และแบ่งแยกที่ดินให้แก่นายวิจิตร์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทางด้านทิศใต้ เนื้อที่ ๗ ไร่๒ งาน ๖๓ ตารางวา แล้วออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๙๔๘๗ ตำบลบางปะกง(บางปะกงบน) อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ให้แก่นายวิจิตร์คงเหลือที่ดินในโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๔๑๗ ตำบลบางปะกง (บางปะกงบน)อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งผู้คัดค้านมีชื่อถือกรรมสิทธิ์อยู่ตรงกลาง เนื้อที่ ๖ ไร่ ๘๓ ตารางวา อันเป็นที่พิพาทในคดีนี้ปรากฏตามสารบัญจดทะเบียนและรูปแผนที่โฉนดที่ดิน เอกสารหมาย ล.๑
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่มีมติว่า ในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๗๘/๒๕๒๒ ของศาลชั้นต้นซึ่งผู้ร้องร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนในโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๔๑๗ ตำบลบางปะกง (บางปะกงบน)อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่ผู้คัดค้านมีชื่อถือกรรมสิทธิ์นั้น ผู้ร้องได้แนบแผนที่สังเขปแสดงรูปลักษณะของที่ดินที่ผู้ร้องได้ครอบครองมาท้ายคำร้องขอด้วย และศาลชั้นต้นก็ได้วินิจฉัยว่าผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินแปลงตามคำร้องขอจนได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ ครั้นผู้ร้องมายื่นคำร้องขอในคดีนี้ก็กล่าวในคำร้องขอว่า ที่ดินเนื้อที่ ๖ ไร่ ๘๓ตารางวา ซึ่งอยู่ตรงกลาง หลังจากแบ่งแยกให้แก่ผู้ร้องกับนายวิจิตร์ไปแล้ว เป็นที่ดินที่ผู้ร้องได้ครอบครองอยู่ในขณะที่ยื่นคำร้องขอตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๗๘/๒๕๒๒ ของศาลชั้นต้น เมื่อที่พิพาทในคดีนี้เป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ดินที่ผู้ร้องร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์และศาลได้มีคำสั่งถึงที่สุดแล้วว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ ตามคดีแพ่งหมายขเลขแดงที่ ๑๗๘/๒๕๒๒ ของศาลชั้นต้นฉะนั้นที่ผู้ร้องมายื่นคำร้องขอเป็นคดีนี้อีก จึงเป็นการรื้อร้องเพื่อให้ศาลวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีก่อนนั่นเองถือว่าเป็นฟ้องซ้ำ ปัญหานี้ แม้จะไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นว่ากล่าวแต่เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล คดีไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยในปัญหาอื่นตามที่ผู้ร้องฎีกาอีกต่อไป
พิพากษายืน ให้ผู้ร้องใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา ๑,๕๐๐ บาทแทนผู้คัดค้าน.