คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5920/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์รับมอบงานการก่อสร้างอาคารพิพาทจากจำเลยแล้ว ต่อมากรรมการควบคุมงานก่อสร้างและรับมอบงานก่อสร้างอาคารพิพาทได้ตรวจพบการชำรุด บกพร่องของอาคารพิพาท โจทก์ต้องฟ้องจำเลยภายในกำหนด 1 ปีนับแต่วันการชำรุด บกพร่องได้ปรากฏขึ้น เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้เกินกว่า1 ปี นับแต่วันดังกล่าว คดีโจทก์จึงขาดอายุความ แม้จะมีพฤติการณ์ที่แสดงว่าจำเลยที่ 1 ยินยอมรับผิดในความชำรุด บกพร่องตามที่โจทก์เรียกร้อง แต่เป็นการยอมรับหลังจากอายุความครบบริบูรณ์แล้วถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความ จำเลยที่ 1จึงยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์ไม่ได้ การละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความของลูกหนี้ชั้นต้น ไม่ลบล้างสิทธิของผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 จึงยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 1 ก่อสร้างต่อเติมอาคารเรียน ห้องเรียนพร้อมครุภัณฑ์ในราคา 5,800,000 บาท จำเลยที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันสัญญาว่าจ้างดังกล่าวเป็นเงินไม่เกิน290,000 บาท จำเลยที่ 1 ทำงานเสร็จตามสัญญาและโจทก์ตรวจรับงานเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2535 ต่อมาวันที่ 24 มีนาคม 2526ทางโรงเรียนตรวจพบว่าอาคารและครุภัณฑ์เกิดความชำรุดบกพร่องรวม12 รายการ จึงรายงานไปตามลำดับชั้น และโจทก์ได้รับทราบเรื่องนี้เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2526 โจทก์แจ้งให้จำเลยที่ 1 และที่ 3ดำเนินการแก้ไข จำเลยที่ 1 ได้ส่งช่างไปทำการซ่อมแซมอันเป็นการรับสภาพหนี้ แล้วไม่ไปทำการซ่อมแซมอีกเลย ความชำรุดบกพร่องและค่าซ่อมแซมคิดเป็นเงิน 52,555 บาท ซึ่งจำเลยทั้งสามต้องร่วมกันรับผิดและโจทก์ทวงถามแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายจำนวน 52,555 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 3 ให้การว่า คดีขาดอายุความ เพราะโจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อพ้นเวลา 1 ปี นับแต่วันการชำรุดบกพร่องได้ปรากฏ โจทก์ผ่อนเวลาการปฏิบัติงานตามสัญญาให้แก่จำเลยที่ 1 โดยไม่ได้แจ้งให้จำเลยที่ 3 ทราบ จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดเกี่ยวกับค่าเสียหายบางรายการและไม่ต้องรับผิดเกี่ยวกับค่าดำเนินการค่ากำไรและค่าภาษีจำนวนเงิน12,055 บาท และค่าเสียหายของโจทก์ไม่เกิน 20,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้จำนวน 18,675 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ส่วนที่ขอเกินมาให้ยกเสีย
โจทก์และจำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 52,555 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์รับมอบงานการก่อสร้างอาคารพิพาทจากจำเลยที่ 1 ที่ก่อสร้างเสร็จตามสัญญาจ้างเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2525 ต่อมาเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2526 นายพินิจและนายมิ่งกรรมการควบคุมงานก่อสร้างและรับมอบงานก่อสร้างอาคารพิพาทได้ตรวจพบการชำรุดบกพร่องของอาคารพิพาทตามบันทึกข้อความและแบบฟอร์มเอกสารหมาย จ.6 และ จ.13โจทก์ต้องฟ้องจำเลยทั้งสามภายในกำหนด 1 ปี นับแต่วันการชำรุดบกพร่องได้ปรากฏขึ้น คือวันที่ 24 มีนาคม 2527 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2528 คดีโจทก์จึงขาดอายุความแล้วแม้จะปรากฏจากคำเบิกความของนายพินิจพยานโจทก์ว่าจำเลยที่ 1ส่งข่าวไปซ่อมแซมอาคารพิพาทเมื่อวันที่ 22 – 25 เมษายน 2527ตามรายการก่อสร้างเอกสารหมาย จ.10 ซึ่งเป็นพฤติการณ์ที่แสดงว่าจำเลยที่ 1 ยินยอมรับผิดในความชำรุดบกพร่องตามที่โจทก์เรียกร้องก็ตาม แต่ก็เป็นการยอมรับหลังจากอายุความครบบริบูรณ์แล้ว ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ละเสียแล้วซึ่งประโยชน์แห่งอายุความ จำเลยที่ 1จึงยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์ไม่ได้ แต่การละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้นไม่ลบล้างสิทธิของผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1ผู้รับจ้างจึงยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยในประเด็นอื่นอีก
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3.

Share