คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2522/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของสวนลุมพินีซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้ายกให้เป็นวนะสาธารณ์สำหรับประชาชน อยู่ในความดูแลรักษาของกรมนคราทร กระทรวงมหาดไทย เทศบาลนครกรุงเทพ โจทก์มีหน้าที่ดูแลรักษาให้เป็นสวนสาธารณะสำหรับประชาชนพักผ่อนหย่อนใจดังนั้นเทศบาลนครกรุงเทพโจทก์ย่อมมีสิทธิเอาที่พิพาทให้เช่าเพื่อหารายได้มาใช้จ่ายปรับปรุงสวนลุมพินีให้อยู่ในสภาพเดิมหรือดีขึ้นกว่าเดิมได้ ไม่ขัดพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496
จำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการห้างฯจำเลยที่ 1 ลงชื่อเป็นคู่สัญญาเช่ากับเทศบาลนครกรุงเทพโจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 1จดทะเบียนเลิกห้างฯ โดยไม่มีการชำระบัญชีแต่ในการต่อสัญญาปีต่อ ๆ มา จำเลยที่ 2 ทราบดีว่าห้างฯ จำเลยที่ 1 จดทะเบียนเลิกห้างฯแล้วก็ยังใช้ชื่อห้างฯ จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่ากับโจทก์โดยจำเลยที่ 2เป็นผู้ลงชื่อในสัญญาเหล่านั้นในฐานะผู้จัดการและดำเนินกิจการค้าและใช้ที่ดินที่เช่าเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 2 ตามวัตถุประสงค์เดิมตลอดมาเป็นเวลาหลายปี เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาในปี 2513จำเลยที่ 2 ก็ได้ติดต่อกับโจทก์ขอต่ออายุสัญญาเช่า และทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์และอาศัยชื่อจำเลยที่ 1เป็นคู่สัญญากับโจทก์ และจำเลย ที่ 2 เป็นผู้ลงชื่อในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่1 อยู่เช่นเดิม หาได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าห้างฯ จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนเลิกห้างฯแล้วไม่พฤติการณ์ดังกล่าวเห็นได้ชัดว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาปิดบังแอบอ้างอาศัยใช้ชื่อห้างฯ จำเลยที่ 1 เข้าทำสัญญากับโจทก์เพื่อกิจการค้าของจำเลยที่ 2 หรือเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 2 เองดังนั้นแม้ว่าสัญญาประนีประนอมยอมความจะไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 1 เพราะเหตุจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนเลิกห้างฯ แล้ว ก็ตามแต่สัญญานั้นก็ยังมีผลผูกพันจำเลยที่ 2 ซึ่ง เป็นผู้ลงชื่อในสัญญานั้นจำเลยที่ 2 ยังคงต้องรับผิดตามสัญญาประนีประนอมยอมความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้จัดการและหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดได้ทำสัญญาเช่าที่ดินบริเวณสวนลุมพินีเนื้อที่ ๖๐๐ ตารางวาเพื่อประโยชน์ในการค้ากับโจทก์มีอายุสัญญาเช่าครั้งละ ๑ ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๗ เป็นต้นมา และได้ต่อสัญญาเช่าครั้งละ ๑ ปีจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๑ ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๑๒ โจทก์บอกกล่าวไม่ยอมต่ออายุสัญญาเช่าให้ จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องขอผ่อนผันแล้วทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๑๓ โดยโจทก์ยอมให้จำเลยที่ ๑ เช่าต่อไปอีกจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๑๓เมื่อพ้นกำหนดแล้ว ถ้าจำเลยที่ ๑ ยังไม่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายออกจากที่เช่า จำเลยที่ ๑ ยอมเสียค่าปรับวันละ ๒,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๓ได้เข้าค้ำประกันตามสัญญาประนีประนอมยอมความยอมรับผิดชอบชำระหนี้และค่าเสียหายแทนจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์เพิ่งทราบว่าจำเลยที่ ๑ ได้จดทะเบียนเลิกห้างฯ โดยไม่ชำระบัญชีแล้วจดทะเบียนตั้งบริษัทลุมพินีกอล์ฟและนิดาจำกัดขึ้น โดยจำเลยที่ ๒เป็นกรรมการผู้จัดการ การกระทำของจำเลยที่ ๒ เป็นเหตุให้จำเลยที่ ๔เข้ามาใช้ที่ดินของโจทก์โดยละเมิด จำเลยที่ ๑, ๒ และ ๔ คงประกอบกิจการค้าตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๑๔ จนถึงวันฟ้องรวม ๒๐๕ วัน (ที่ถูก ๒๐๓ วัน)ค่าปรับวันละ ๒,๐๐๐ บาท เป็นเงิน ๔๐๘,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ ๑, ๒ชำระเบี้ยปรับวันละ ๒,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะได้ทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายสิ่งปลูกสร้างออกจากที่พิพาท ให้จำเลยที่ ๓ชำระเงินค้ำประกันจำนวน ๒๐,๐๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้จำเลยที่ ๑, ๒ และ ๔ รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายสัมภาระออกจากที่พิพาท
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธินำที่ดินในสวนลุมพินีอันเป็นสวนสาธารณะซึ่งมิใช่ทรัพย์สินของโจทก์มาให้จำเลยที่ ๑ เช่า จำเลยที่ ๑ได้จดทะเบียนเลิกห้างและมิได้มีฐานะเป็นนิติบุคคล ตั้งแต่วันที่ ๑๔ สิงหาคม๒๕๐๗ สัญญาประนีประนอมยอมความลงวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๑๓ จึงไม่มีผลประการใด โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาค่าปรับ และโจทก์เรียกร้องเอาค่าปรับสูงเกินส่วน
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ให้จำเลยที่ ๓ ระงับการจ่ายเงิน๒๐,๐๐๐ บาทตามสัญญาค้ำประกันโดยอ้างว่าจำเลยที่ ๑ ได้จดทะเบียนเลิกห้างแล้ว หากสัญญาประนีประนอมยอมความไม่สมบูรณ์สัญญาค้ำประกันย่อมไม่สมบูรณ์ตามไปด้วย
จำเลยที่ ๔ ให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยที่ ๔ ไม่เคยมีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๔ ร่วมกันรื้อถอนและขนย้ายสิ่งปลูกสร้างออกจากที่พิพาทและห้ามเกี่ยวข้องต่อไป ให้จำเลยที่ ๒ ในฐานะส่วนตัวชำระเบี้ยปรับจำนวน ๑๖,๕๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จให้แก่โจทก์ให้จำเลยที่ ๒ ในฐานะส่วนตัวชำระเบี้ยปรับวันละ ๘๐ บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๔ ได้ทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเสร็จเรียบร้อย ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๓
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า (๑) โจทก์มีอำนาจให้จำเลยที่ ๑ หรือจำเลยที่ ๒เช่าที่พิพาทหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่า ที่พิพาทในคดีนี้เป็นส่วนหนึ่งของสวนลุมพินีซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้ายกให้เป็นวนะสาธารณ์สำหรับประชาชน อยู่ในความดูแลรักษาของกรมนคราทร กระทรวงมหาดไทยปัจจุบันโจทก์มีหน้าที่ดูแลรักษาสวนลุมพินีเพื่อให้เป็นสวนสาธารณะสำหรับประชาชนพักผ่อนหย่อนใจ ดังนั้น เมื่อสวนลุมพินีอยู่ในความครอบครองดูแลรักษาของโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะนำเอาที่ดินพิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสวนลุมพินีให้ผู้อื่นเช่าเพื่อหารายได้มาใช้จ่ายปรับปรุงสวนลุมพินีให้อยู่ในสภาพเดิมหรือดีขึ้นกว่าเดิมได้ ไม่เป็นการขัดกับพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ ตามที่จำเลยอ้างประการใดยิ่งกว่านั้นยังได้ความอีกว่าก่อนทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาท ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ โจทก์ก็ได้รับอนุมัติจากกระทรวงมหาดไทย ให้นำเอาที่ดินพิพาทให้ผู้อื่นเช่าได้ ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.๑๒ แม้ในหนังสือจะระบุอนุมัติให้นายเจิมจิตต์ เลขะวณิช และพลตำรวจตรีพจน์ เภกะนันท์เป็นผู้เช่าก็ตาม แต่ปรากฏว่าตามเอกสารหมาย จ.๑๔ ว่านายเจิมจิตต์เลขะวณิช ได้แจ้งต่อโจทก์ขอให้ทำสัญญาเช่าในนามของจำเลยที่ ๑โดยจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้จัดการ ดังนี้โจทก์ชอบที่จะทำสัญญากับจำเลยที่ ๑หรือจำเลยที่ ๒ ได้ และสัญญาเช่าดังกล่าว จำเลยที่ ๑ ย่อมเป็นคู่สัญญาและมีความผูกพันตามสัญญาเช่านั้นกับโจทก์และ (๒) จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดตามสัญญาประนีประนอมยอมความ เพราะปรากฏว่าจำเลยที่ ๒ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ ได้ลงชื่อตามสัญญาเช่ากับโจทก์แล้ว ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้จดทะเบียนเลิกห้างฯ โดยไม่มีการชำระบัญชีแต่ปรากฏว่าในการต่อสัญญาเช่าแต่ละปีต่อ ๆ มา จำเลยที่ ๒ ซึ่งทราบดีว่าห้างฯ จำเลยที่ ๑ จดทะเบียนเลิกห้างแล้วก็ยังใช้ชื่อห้างฯ จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่ากับโจทก์ โดยจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ลงชื่อในสัญญาเหล่านั้นในฐานะผู้จัดการ จำเลยที่ ๒ ยังคงดำเนินกิจการค้าและใช้ที่ดินที่เช่าเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๒ ตามวัตถุประสงค์เดิมตลอดมาเป็นเวลาหลายปี ต่อมาเมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาในปี ๒๕๑๓ จำเลยที่ ๒ ก็ได้ติดต่อกับโจทก์ขอต่ออายุสัญญาเช่าต่อไป และได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์และยังคงอาศัยชื่อจำเลยที่ ๑ เป็นคู่สัญญากับโจทก์ และจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ลงชื่อในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ อยู่เช่นเดิม จำเลยที่ ๒ หาได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าห้างฯ จำเลยที่ ๑ ได้จดทะเบียนเลิกห้างฯ แล้วไม่พฤติการณ์ของจำเลยที่ ๒ ดังกล่าวแล้ว ทำให้เห็นได้ชัดว่าจำเลยที่ ๒มีเจตนาปิดบังแอบอ้างอาศัยใช้ชื่อห้างฯ จำเลยที่ ๑ เข้าทำสัญญากับโจทก์เพื่อกิจการค้าของจำเลยที่ ๒ หรือเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๒ เองดังนั้น แม้ว่าสัญญาประนีประนอมยอมความจะไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ ๑เพราะเหตุจำเลยที่ ๑ ได้จดทะเบียนเลิกห้างฯ แล้วก็ตาม แต่สัญญานั้นก็ยังมีผลผูกพันจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้ลงชื่อในสัญญานั้น จำเลยที่ ๒ ยังคงต้องรับผิดในสัญญาประนีประนอมยอมความ
แต่ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยที่ ๒ ใช้เบี้ยปรับวันละ๘๐ บาท ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๑๔ อันเป็นวันผิดสัญญาถึงวันฟ้องรวม ๒๐๕ วันเป็นเงินเบี้ยปรับ ๑๖,๔๐๐ บาท และให้ชำระเบี้ยปรับวันละ๘๐ บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยที่ ๒ และ ที่ ๔ ได้ทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเสร็จเรียบร้อยนั้น ไม่ถูกต้อง เพราะจำเลยผิดสัญญาถึงวันฟ้องเพียง ๒๐๓ วันเท่านั้น
พิพากษาแก้เป็นให้จำเลยที่ ๒ ชำระเบี้ยปรับให้โจทก์เป็นเงิน ๑๖,๒๔๐ บาท และวันละ ๘๐ บาทถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยที่ ๒และจำเลยที่ ๔ จะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเสร็จเรียบร้อย

Share