แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยหลอกลวงเด็กหญิงอายุ 14 ปี ว่าจะพาไปรับจ้างทำงาน แต่แล้วกลับพาไปที่สำนักโสเภณี และเด็กหญิงนั้นถูกบังคับให้ค้าประเวณี การที่เด็กหญิงนั้นไปกับจำเลยเพราะเชื่อคำหลอกลวงเช่นนี้ จะถือว่าเต็มใจไปด้วยกับจำเลยหาได้ไม่
การพรากผู้เยาว์ไปเพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจาร ไม่ว่าผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยหรือไม่เต็มใจ ประมวลกฎหมายอาญาก็บัญญัติเป็นความผิดทั้งนั้น เพียงแต่กำหนดโทษตามมาตรา 318 วรรคท้าย หนักกว่าโทษตามมาตรา 319 การที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามมาตรา 319 แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดตามมาตรา 318 ก็มิใช่เป็นเรื่องข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้อง ศาลย่อมปรับบทลงโทษจำเลยตามมาตรา 319 ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจพรากเด็กหญิงแต๋ว คำภา อายุ 14 ปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อหากำไร โดยเด็กหญิงแต๋วเต็มใจไปด้วยขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยได้พรากเด็กหญิงแต๋วผู้เสียหายไปเสียจากบิดามารดา โดยหลอกว่าจะพาไปเป็นคนรับใช้ทำงานที่กรุงเทพฯแต่แล้วกลับพาเด็กหญิงแต๋วไปขายที่สำนักโสเภณีเป็นการกระทำเพื่อการอนาจาร ถือไม่ได้ว่าเด็กหญิงแต๋วเต็มใจไปด้วย โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 อันเป็นกรณีที่ผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย แต่การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 318 โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย ซึ่งมีความคลุมไปถึงบทบัญญัติในมาตรา 319 ด้วย ศาลปรับบทลงโทษจำเลยตามมาตรา 319 ได้ พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 ซึ่งแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ให้จำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 3 ปี 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เด็กหญิงแต๋วเต็มใจไปกับจำเลยเพื่อจะรับจ้างทำงานที่กรุงเทพฯ ตามที่จำเลยหลอก แล้วจำเลยได้ขายหรือได้ประโยชน์หรือพาเด็กหญิงแต๋วไปได้กำไรจากเจ้าสำนักโสเภณีการกระทำของจำเลยดังกล่าวย่อมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 319 ที่โจทก์ฟ้องแล้ว ส่วนการที่เจ้าสำนักโสเภณีบังคับให้เด็กหญิงแต๋วนอนกับชายเพื่อรับจ้างหากินหรือทำการค้าประเวณีนั้นเป็นเรื่องภายหลังที่ความผิดครั้งแรกกระทำสำเร็จแล้ว ฉะนั้น จึงหาใช่ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้องไม่ พิพากษายืน
จำเลยฎีกาทั้งในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย โดยผู้พิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาเชื่อว่าจำเลยได้พรากเด็กหญิงแต๋วไปเสียจากบิดามารดาจริงปัญหามีว่าเด็กหญิงแต๋วเต็มใจไปด้วยกับจำเลยหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยไปพูดหลอกลวงเด็กหญิงแต๋วว่าจะพาไปรับจ้างทำงานที่กรุงเทพฯ แต่จำเลยกลับพาเด็กหญิงแต๋วไปที่สำนักโสเภณี และเด็กหญิงแต๋วถูกบังคับให้ทำการค้าประเวณี ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีดังนี้จะถือว่าเด็กหญิงแต๋วเต็มใจไปด้วยกับจำเลยหาได้ไม่ เพราะที่เด็กหญิงแต๋วไปกับจำเลยโดยหลงเชื่อคำหลอกลวงของจำเลยว่าจะพาไปรับจ้างทำงาน จึงยอมไปกับจำเลย ถ้าจำเลยไม่หลอกลวงเด็กหญิงแต๋วเช่นนั้น เด็กหญิงแต๋วก็คงไม่ยอมไปด้วย การกระทำของจำเลยจึงเป็นเรื่องพรากผู้เยาว์ซึ่งมีอายุไม่เกิน 18 ปี ไปจากบิดามารดาโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไป เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 วรรคท้าย
ปัญหาต่อไปมีว่า การที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 โดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่าผู้เยาว์ไม่เต็มใจไป อันเป็นความผิดตามมาตรา 318จะถือว่าข้อเท็จจริงในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจาร จะโดยลักษณะที่ผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยหรือไม่เต็มใจไป ประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติเป็นความผิดทั้งนั้น หากแต่กำหนดโทษหนักเบาต่างกันเท่านั้น กล่าวคือ เมื่อผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย ก็เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 วรรคท้าย อันมีโทษหนักกว่ามาตรา 319 หาใช่เป็นเรื่องข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้องไม่ เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามมาตรา 319 ซึ่งมีโทษเบากว่ามาตรา 318 ศาลก็ปรับบทลงโทษจำเลยตามมาตรา 319 ได้
พิพากษายืน