แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยทราบดีว่าที่ดินข้างเคียงมีเจ้าของและที่ดินของจำเลยกับที่ดินข้างเคียงเป็นที่ดินมีโฉนด ก่อนทำการก่อสร้างจำเลยควรรังวัดสอบเขตให้ตรงกับโฉนดที่ดินของจำเลยเสียก่อน แต่จำเลยไม่กระทำจึงเป็นการก่อสร้างตามอำเภอใจ จำเลยจะอ้างว่าโจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียงทราบแล้วไม่คัดค้านหาได้ไม่ เพราะไม่ใช่หน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องรังวัดตรวจสอบเขตที่ดินในขณะที่จำเลยทำการก่อสร้างเมื่อตึกแถวที่จำเลยก่อสร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของจำเลย ถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยไม่สุจริต จำเลยจะอ้าง ป.พ.พ. มาตรา 1312 วรรคแรกไม่ได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่22544 ตำบลศรีราชา อำเภอศรีราชา (บางพระ) จังหวัดชลบุรี จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 22545 ตำบลศรีราชา อำเภอศรีราชา (บางพระ)จังหวัดชลบุรี เมื่อประมาณปี 2523 จำเลยก่อสร้างเพิ่มเติมตึกแถวด้านหลังตึกแถวเลขที่ 130/2 ถนนเจิมจอมพลตำบลศรีราชา อำเภอศรีราชา รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศเหนือโดยไม่สุจริต โจทก์จำเลยไม่สามารถตกลงกันได้ โจทก์จึงบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนตึกแถวส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนตึกแถวส่วนที่รุกล้ำที่ดินโฉนดเลขที่ 22544 ตำบลศรีราชา อำเภอศรีราชา (บางพระ) จังหวัดชลบุรี ของโจทก์ออกไปให้หมดและห้ามไม่ให้เกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์อีก ถ้าจำเลยไม่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปทั้งหมด โจทก์ขอเป็นผู้ดำเนินการรื้อถอนเองโดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายและโจทก์ขอคิดค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนเป็นเงิน 10,000 บาท
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยและโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากนางกิมไกร ทองสุข เจ้าของเดิมเมื่อปี 2523 พร้อมกัน เดิมเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน จำเลยก่อสร้างตึกแถวในที่ดินที่จำเลยซื้อไว้ไม่ได้เกินเข้าไปในที่ของโจทก์ หากสอบเขตแล้วตึกแถวรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ การกระทำของจำเลยก็เป็นการกระทำโดยสุจริต และตลอดระยะเวลาในการก่อสร้างตึกแถว โจทก์ได้มาดูแลกำกับเขตที่ดินของโจทก์อยู่ตลอดเวลา เมื่อจำเลยสร้างเสร็จโจทก์ยังได้ขอใช้ผนังตึกแถวซึ่งเป็นกำแพงก่ออิฐฉาบปูนร่วมกับจำเลยโดยทำสัญญากันไว้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอน ขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์ไปจดทะเบียนภารจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ 22544 ตำบลศรีราชา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ให้แก่จำเลยโดยจำเลยยินยอมเสียเงินค่าที่ดินในราคาตลาดแก่โจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยก่อสร้างตึกแถวรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริตและไม่ได้ขออนุญาตทางราชการปลูกสร้างต่อมาโจทก์รังวัดแบ่งแยกที่ดินของโจทก์จึงทราบว่าจำเลยก่อสร้างตึกแถวรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ในระหว่างที่จำเลยก่อสร้างโจทก์ไม่เคยไปดูเพราะโจทก์มีอาชีพขับรถรับจ้างการกระทำของจำเลยไม่สุจริต จึงต้องรื้อถอนส่วนที่รุกล้ำเข้ามาออกไป ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนตึกแถวที่ก่อสร้างเพิ่มเติมด้านหลังตึกแถวเลขที่ 130/2 ถนนเจิมจอมพล ตำบลศรีราชา อำเภอศรีราชาจังหวัดชลบุรี ส่วนที่ปลูกรุกล้ำเข้าไปในโฉนดเลขที่ 22544 ของโจทก์ออกไป ยกฟ้องแย้งของจำเลย คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์จำเลยมีตึกแถวติดกัน จำเลยก่อสร้างตึกแถวด้านหลังตึกแถวเลขที่130/2 ถนนเจิมจอมพล ตำบลศรีราชา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรีของจำเลยรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ และโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาตกลงกันว่าภายหลังจากจำเลยก่อสร้างตึกแถวเสร็จโจทก์ จำเลยจะยอมให้โจทก์ใช้ฝาผนังตึกแถวร่วมด้วย มีปัญหาตามฎีกาจำเลยว่า จำเลยก่อสร้างตึกแถวรุกล้ำที่ดินของโจทก์โดยสุจริตหรือไม่
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า จำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าที่ดินข้างเคียงกับที่ดินของจำเลยมีเจ้าของและที่ดินของจำเลยที่จะปลูกสร้างเพิ่มเติมกับที่ดินข้างเคียงเป็นที่ดินมีโฉนด ก่อนทำการก่อสร้างจำเลยควรที่จะทำการรังวัดสอบเขตให้ตรงกับโฉนดที่ดินของจำเลยเสียก่อน แต่จำเลยไม่กระทำ จึงเป็นการก่อสร้างตามอำเภอใจ จำเลยจะอ้างว่าโจทก์ทราบถึงการก่อสร้างแต่ไม่คัดค้านหาได้ไม่ เพราะไม่ใช่หน้าที่ของโจทก์ที่จะไปทำการรังวัดตรวจสอบเขตที่ดินในขณะที่จำเลยทำการก่อสร้าง เมื่อปรากฏว่าตึกแถวที่จำเลยก่อสร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของจำเลย ถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยไม่สุจริต จำเลยจะอ้างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 วรรคแรกมาคุ้มครองหาได้ไม่ส่วนที่จำเลยอ้างว่าโจทก์จำเลยตกลงกันให้โจทก์ใช้ฝาผนังร่วมกันได้แสดงว่าโจทก์ยินยอมให้จำเลยก่อสร้างตึกแถวรุกล้ำที่ดินโจทก์นั้นเห็นว่า ข้อเท็จจริงดังกล่าวฟังได้แต่เพียงว่า จำเลยยินยอมให้โจทก์ใช้ฝาผนังร่วมกับจำเลยเท่านั้น หาใช่แสดงว่าโจทก์ยินยอมให้จำเลยก่อสร้างตึกแถวรุกล้ำที่ดินโจทก์ ดังที่จำเลยเข้าใจไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.