คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2417/2537

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมแก่โจทก์ จนโจทก์ยอมถอนการยึดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้ ต่อมาจำเลยและบริษัทช. ผู้อาวัล มิได้ชำระเงินตามกำหนดเวลาที่ระบุในตั๋วสัญญาใช้เงิน หนี้ตามคำพิพากษาจึงยังไม่ระงับลง โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากหนี้ดังกล่าวต่อไปจนถึงวันที่ได้รับชำระหนี้ครบถ้วน และดอกเบี้ยดังกล่าวย่อมเป็นส่วนหนึ่งของหนี้ที่จะต้องชำระในคดีนั้นด้วย มิใช่หนี้ที่เกิดขึ้นใหม่การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยเพื่อบังคับคดีอีกจึงเป็นการบังคับคดีโดยชอบ

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามให้ร่วมกันชำระเงินตามเช็คจำนวน 7,300,000 บาท พร้อมค่าเสียหายเป็นดอกเบี้ยถึงวันฟ้องอีก 45,625 บาท แก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 7,300,000 บาท นัดถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยทั้งสามทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ว่าจำเลยทั้งสามยอมร่วมกันชำระเงิน 7,617,803 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงิน7,300,000 บาท นับแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยจะชำระให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 23 พฤษภาคม 2531 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ตามยอม แต่จำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมโจทก์จึงขอให้บังคับคดีเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ที่ดินรวม 10 โฉนดพร้อมสิ่งปลูกสร้างรวม 10 คูหาซึ่งปลูกสร้างบนที่ดินดังกล่าวของจำเลยที่ 1เพื่อบังคับชำระหนี้
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้อง ลงวันที่ 17 เมษายน 2532 ว่าจำเลยที่ 2 ได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่โจทก์เสร็จสิ้นแล้วตั้งแต่วันที่ 13 กรกฎาคม 2531 ด้วยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินแก่โจทก์ 2 ฉบับซึ่งโจทก์ยอมรับและตกลงกันให้หนี้ในคดีนี้ระงับสิ้นไปตามบันทึกข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ฉบับลงวันที่ 13 กรกฎาคม 2531 และโจทก์ได้ถอนการยึดที่ดิน 10 โฉนดพร้อมสิ่งปลูกสร้างรวม 10 คูหาไปแล้ว ต่อมาเมื่อวันที่27 มีนาคม 2532 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สร้อยข้อมือทองคำ จำนวน 3 เส้น ของจำเลยที่ 2 เพื่อบังคับคดีสำหรับหนี้ในคดีนี้เพิ่มเติม การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2532ดังกล่าวอีกเป็นการไม่ชอบ จึงขอให้สั่งเพิกถอนการยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 ดังกล่าว
โจทก์ยื่นคำคัดค้าน ลงวันที่ 4 สิงหาคม 2532 ว่า บันทึกข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ตามที่จำเลยที่ 2 อ้างนั้นเป็นการหาหลักประกันมาให้ไว้แก่โจทก์เพื่อไม่ให้บังคับคดีแก่จำเลยทั้งสามทันทีเท่านั้น นอกจากตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสองฉบับดังกล่าวจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นผู้ออกตั๋วและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เชียงใหม่ทรัสต์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้อาวัลก็ไม่ได้ใช้เงินในวันที่ 15 สิงหาคม 2531อันเป็นวันถึงกำหนดใช้เงินตามตั๋ว โจทก์ต้องติดตามทวงถามหลายครั้งและเพิ่งมีการใช้เงินเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2531 จำเลยทั้งสามยังคงเป็นหนี้โจทก์ ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2531 เป็นเงิน 46,456.60 บาทพร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายโจทก์แจ้งให้จำเลยชำระหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์แต่จำเลยทั้งสามไม่ชำระโจทก์จึงนำยึดสร้อยข้อมือทองคำของจำเลยที่ 2 เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมที่จำเลยทั้งสามเป็นหนี้โจทก์ในคดีนี้และในคดีหมายเลขแดงที่ 22661/2530 ของศาลชั้นต้นครั้นวันที่ 13 กรกฎาคม 2531 โจทก์ทำความตกลงกับจำเลยที่ 2ตามบันทึกเอกสารหมาย ล.4 โดยจำเลยที่ 2 ออกตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 2 ฉบับ แก่โจทก์โดยฉบับหนึ่งจำนวนเงิน 400,000 บาทปรากฏตามเอกสารหมาย ล.2 และอีกฉบับหนึ่งจำนวนเงิน7,984,647 บาท ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.3 ซึ่งตามตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสองฉบับนี้สัญญาจะใช้เงินในวันที่ 15 สิงหาคม 2531 มีบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เชียงใหม่ทรัสต์ จำกัด เป็นผู้อาวัลโจทก์จึงถอนการยึดทรัพย์ที่นำยึดไว้ ต่อมาจำเลยที่ 2 และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เชียงใหม่ทรัสต์ จำกัด จ่ายเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินทั้ง 2 ฉบับดังกล่าวแก่โจทก์เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม2531 ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 มีว่า การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 อีกตามเอกสารหมาย ล.8 เป็นการบังคับคดีโดยชอบหรือไม่
พิเคราะห์แล้ว จำเลยที่ 2 อ้างว่าการบังคับคดีของโจทก์ไม่ชอบเพราะกรณีเป็นการชำระหนี้ด้วยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินและโจทก์ได้รับชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินไปแล้ว การที่จำเลยที่ 2และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เชียงใหม่ทรัสต์ จำกัด ขอผัดการชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินโจทก์ไม่คัดค้านถือว่าโจทก์ให้ความยินยอมแล้ว ค่าใช้จ่ายในการติดตามทวงถามและดอกเบี้ยที่โจทก์คำนวณขึ้นใหม่นั้นจึงเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นใหม่โจทก์ชอบที่จะว่ากล่าวเอากับจำเลยที่ 2 อีกต่างหากมิใช่นำมาบังคับยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ เห็นว่า ตามบันทึกเอกสารหมาย ล.4ข้อ 2 นั้น จำเลยที่ 2 ยอมชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยที่เหลือแก่โจทก์คำนวณถึงวันที่ 10 สิงหาคม 2531 จำนวน 8,344,647 บาทด้วยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินมอบแก่โจทก์ซึ่งถึงกำหนดชำระเงินวันที่ 15 สิงหาคม 2531 จึงเป็นการชำระหนี้ด้วยตั๋วเงินดังนั้นหนี้จะระงับต่อเมื่อมีการใช้เงินตามตั๋วเงินครบถ้วนแล้วเมื่อจำเลยที่ 2 และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เชียงใหม่ทรัสต์ จำกัดมิได้ชำระเงินตามกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในตั๋วสัญญาใช้เงินหนี้ตามคำพิพากษาที่จำเลยที่ 2 ชำระด้วยตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวจึงยังไม่ระงับลง โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากหนี้ดังกล่าวต่อไปจนถึงวันที่ได้รับชำระหนี้ครบถ้วนและดอกเบี้ยดังกล่าวย่อมเป็นส่วนหนึ่งของหนี้ที่จะต้องชำระในคดีนี้ด้วยซึ่งโจทก์ชอบที่จะบังคับเอาจากจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ได้ มิใช่หนี้ที่เกิดขึ้นใหม่อีกต่างหากดังจำเลยที่ 2 กล่าวอ้าง ดังนั้น การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2ตามเอกสารหมาย ล.4 อีกจึงเป็นการบังคับคดีโดยชอบที่ศาลอุทธรณ์ยกคำร้องของจำเลยที่ 2 ชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share