คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2519/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตัวเลขที่แสดงรายรับตามสมุดบัญชีและเอกสารที่โจทก์อ้างนั้น โจทก์ได้แสดงไว้ในแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.5) และแบบแสดงรายการเสียภาษีการค้า (ภ.ค. (พ) 4) ซึ่งเจ้าพนักงานประเมินได้วิเคราะห์แล้ว เห็นว่ารายรับที่โจทก์แสดงต่ำกว่าความเป็นจริง นอกจากนั้นปรากฏว่าเอกสารต่าง ๆ ที่โจทก์ขอให้ศาลหมายเรียกจากจำเลย จำเลยได้จัดส่งศาลตามหมายเรียกที่ส่งไม่ได้บางฉบับจำเลยก็มีหนังสือแจ้งต่อศาลว่า ค้นหาไม่พบ และบางฉบับบุคคลอื่นมิได้ส่งมา ทั้งเอกสารบางฉบับที่จำเลยแจ้งต่อศาลว่าบุคคลอื่นมิได้ส่งมอบแก่จำเลยโจทกก็มิได้ขอให้ศาลออกหมายเรียกจาก บุคคลนั้น ดังนี้ โจทก์จะอาศัยประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 123 ว่าต้องรับฟังข้อเท็จจริงตามที่โจทก์อ้างหาได้ไม่
โจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินจากทางราชการเพื่อปลูกสร้างอาคารพาณิชย์โดยมีข้อตกลงว่าโจทก์จะต้องเสียค่าตอบแทน บางอย่าง และยกกรรมสิทธิ์อาคารแก่ทางราชการ แต่โจทก์ก็มีสิทธินำอาคารเหล่านั้นไปใช้เช่าช่วงแล้วเก็บเงินค่าก่อสร้างจากผู้เช่าช่วง ย่อมเป็นความประสงค์ของทางราชการได้ว่า ประสงค์ที่จะก่อสร้างอาคารพาณิชย์แล้วนำออกให้เช่านั่นเอง แต่แทนที่จะว่าจ้างโจทก์ให้เป็นผู้ก่อสร้างโดยตรงแล้วนำออกให้เช่า กลับดำเนินการด้วยวิธีทำความตกลงให้โจทก์เป็นผู้ก่อสร้างแล้วให้โจทก์ไปเรียกค่าก่อสร้างจากผู้เช่าช่วงในรูปแบบของเงินช่วยเหลือก่อสร้าง ฉะนั้น เมื่อโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้ามีวัตถุประสงค์ในการรับเหมาก่อสร้าง โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าจากรายรับ (เงินช่วยเหลือค่าก่อสร้างที่ได้รับจากผู้เช่าช่วง) ของทุกเดือนภาษีตามอัตราในบัญชีอัตราภาษีการค้า ประเภทการค้า 4. การรับจ้างทำของ (ค) การปลูกสร้างหรือการก่อสร้างทุกชนิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เช่าที่ดินราชพัสดุเพื่อก่อสร้างอาคารพาณิชย์ โดยโจทก์มีสิทธิในการเช่า และให้เช่าช่วงอาคารพาณิชย์ดังกล่าว นอกจากนั้นโจทก์ได้ซื้อขายที่ดิน ต่อมาเจ้าพนักงานประเมินมีคำสั่งให้โจทก์เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินเพิ่มในรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๑๔ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๑๙ กับให้เสียภาษีการค้า เงินเพิ่มและภาษีเทศบาลสำหรับปี พ.ศ.๒๕๑๕ ถึงปี พ.ศ.๒๕๑๘ รวมเป็นเงิน ๑๑,๐๙๙,๙๔๖.๗๐ บาท การประเมินของพนักงานประเมินไม่ถูกต้อง สัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุเป็นสัญญาต่างตอบแทน มิใช่รับจ้างทำของ โจทก์ยื่นอุทธรณ์การประเมิน คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ ขอให้พิพากษาเพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า โจทก์มีรายรับจากเงินช่วยเหลือค่าก่อสร้างค่าเช่า กับมีรายรับจากการค้าอสังหาริมทรัพย์ เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบและแจ้งยอดรายรับให้โจทก์ทราบ และคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลโดยหักค่าใช้จ่ายในยอดรายรับจากการรับเหมาก่อสร้างในอัตราร้อยละ ๘๐ รายรับจากการให้เช่าทรัพย์สินในอัตราร้อยละ ๓๐ โจทก์ยอมรับผลการตรวจสอบ ทั้งยังยื่นคำร้องขอลดเงินเพิ่มและเบี้ยปรับ โจทก์มีวัตถุประสงค์ในการรับเหมาก่อสร้าง ออกแบบจึงเป็นผู้ประกอบการค้ารับจ้างทำของ ได้รับประโยชน์ตอบแทนเป็นเงินช่วยเหลือค่าก่อสร้าง การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าระหว่างปี พ.ศ.๒๕๑๔ ถึง ๒๕๑๘ โจทก์มีรายรับตามที่เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมิน และวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า สำหรับข้อที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยไม่ยอมส่งเอกสารตามหมายเรียก จึงต้องรับฟังข้อเท็จจริงดังที่ปรากฏในเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๒๓ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ตัวเลขที่แสดงรายรับตามสมุดบัญชีและเอกสารที่โจทก์อ้างนั้น โจทก์ได้แสดงไว้ในแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.๕) และแบบแสดงรายการเสียภาษีการค้า (ภ.ค.(พ)๔) ซึ่งเจ้าพนักงานประเมินได้วิเคราะห์แล้วเห็นว่ารายรับที่โจทก์แสดงต่ำกว่าความเป็นจริง นอกจากนั้นจากการตรวจสอบปรากฏว่าเอกสารต่าง ๆ ที่โจทก์ขอให้ศาลหมายเรียกจากจำเลยนั้น จำเลยก็ได้จัดส่งศาลตามหมายเรียก ที่ส่งไม่ได้บางฉบับจำเลยก็มีหนังสือแจ้งต่อศาลว่าค้นหาไม่พบและบางฉบับกองทะเบียนคนต่างด้าวและภาษีอากรกรมตำรวจมิได้ส่งมา ทั้งเอกสารบางฉบับที่จำเลยแจ้งต่อศาลว่ากองทะเบียนคนต่างด้าวและภาษีอากรกรมตำรวจมิได้ส่งมอบแก่จำเลย โจทก์ก็มิได้ขอให้ศาลออกหมายเรียกจากกองทะเบียนคนต่างด้าวและภาษีอากร กรมตำรวจ ดังนั้นโจทก์จะอาศัยประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๒๓ หาได้ไม่ ข้อเท็จจริงในเรื่องรายรับของโจทก์ระหว่างปี พ.ศ.๒๕๑๔ ถึง ๒๕๑๘ จึงต้องฟังว่ามีจำนวนตามที่ปรากฏในแบบคำสั่งให้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินเพิ่มตามสำเนาท้ายฟ้องรวม ๕ ฉบับ
สำหรับปัญหาที่ว่าโจทก์จะต้องเสียภาษีการค้าหรือไม่นั้น โจทก์ฎีกาว่า กิจการของโจทก์เป็นสัญญาต่างตอบแทน มิใช่การรับจ้างทำของ จึงไม่ต้องเสียภาษีการค้า ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุจากกระทรวงการคลังและจากเทศบาล เมืองขอนแก่น เพื่อปลูกสร้างอาคารพาณิชย์โดยมีข้อตกลงว่าโจทก์จะต้องเสียค่าตอบแทนบางอย่างและยกกรรมสิทธิ์อาคารที่ปลูกสร้างให้กับกระทรวงการคลังและเทศบาลเมืองขอนแก่น โดยโจทก์มีสิทธินำอาคารพาณิชย์เหล่านั้นไปให้เช่าช่วงแล้วเก็บเงินค่าก่อสร้างจากผู้เช่าช่วง
จากข้อเท็จจริงที่ได้ความดังกล่าวย่อมเห็นความประสงค์ของกระทรวงการคลังและเทศบาลเมืองขอนแก่นได้ว่าประสงค์ที่จะก่อสร้างอาคารพาณิชย์ลงบนที่ดินราชพัสดุแล้วนำออกให้เช่านั้นเอง แต่แทนที่จะว่าจ้างโจทก์ให้เป็นผู้ก่อสร้างโดยตรงแล้วนำออกให้เช่า กลับดำเนินการด้วยวิธีทำความตกลงให้โจทก์เป็นผู้ก่อสร้างแล้วให้โจทก์ไปเรียกค่าก่อสร้างจากผู้เช่าช่วงในรูปแบบของเงินช่วยเหลือก่อสร้างกรณีเป็นดังนี้ ฉะนั้น เมื่อโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้ามีวัตถุประสงค์ในการรับเหมาก่อสร้างโจทก์จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าจากรายรับ (เงินช่วยเหลือค่าก่อสร้างที่ได้รับจากผู้เช่าช่วง) ของทุกเดือนภาษีตามอัตราในบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภทการค้า ๔. การรับจ้างทำของ (ค) การปลูกสร้างหรือการก่อสร้างทุกชนิด
พิพากษายืน

Share