แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ยืมโดยยอมตกลงไว้ในสัญญากู้ด้วยว่ายอมให้ทบจำนวนดอกเบี้ยที่ค้างชำระครบหนึ่งปีเข้ากับต้นเงินแล้วให้คิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากัน ข้อตกลงดังกล่าวสมบูรณ์หาเป็นโมฆะไม่.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินโจทก์ไป 240,000 บาทคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14 ต่อปี ถ้าผิดนัดไม่ชำระดอกเบี้ยเป็นเวลาถึงหนึ่งปียอมให้ทบจำนวนดอกเบี้ยที่ค้างเข้าเป็นต้นเงินในวันที่ค้างครบ 1 ปี โดยมีจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันการกู้เงินของจำเลยที่ 1 ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 361,985 บาท16 สตางค์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17 ต่อปีในต้นเงิน 278,262 บาท50 สตางค์ นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง สัญญาค้ำประกันไม่ผูกพันจำเลยขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินจำนวน278,262 บาท 50 สตางค์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 17 ต่อปี ในต้นเงิน222,686 บาท 81 สตางค์ นับจากวันที่ 25 เมษายน 2524 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…หนังสือสัญญากู้เงินข้อ 3 วรรคแรกความว่า “ผู้กู้ยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่ผู้ให้กู้เป็นรายเดือนสำหรับเงินกู้ที่ค้างชำระในอัตราร้อยละ 14 ต่อปี โดยยอมชำระนับแต่วันได้รับเงินกู้ไปทุกวันสิ้นเดือน และชำระดอกเบี้ยพร้อมทั้งผ่อนเงินต้นตามที่กำหนดไว้ในข้อ 2 ถ้าผู้กู้ผิดนัดไม่ชำระดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นเวลาหนึ่งปี ผู้กู้ยินยอมให้ทบจำนวนดอกเบี้ยที่ค้างชำระเข้าเป้นต้นเงินในวันที่ครบกำหนดหนึ่งปีนั้น และผู้กู้ต้องเสียดอกเบี้ยในยอดเงินต้นดังกล่าวในตอนหลังนี้ตั้งแต่วันถัดจากวันที่ครบกำหนดหนึ่งปีตลอดไปในอัตราเดียวกันจนกว่าจะชำระเงินเสร็จสิ้น”ซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นข้อตกลงก่อนที่จะมีการค้างชำระดอกเบี้ยไม่น้อยกว่าหนึ่งปีแม้ข้อตกลงดังกล่าวจะทำเป็นหนังสือก็ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 655 วรรคแรกข้อตกลงดังกล่าวตกเป็นโมฆะ ศาลล่างทั้งสองจึงพิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้หนี้โจทก์ไม่เต็มตามฟ้อง คดีนี้มีปัญหาพิจารณาตามฎีกาของโจทก์เพียงว่าข้อตกลงดังกล่าวขัดกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 655 วรรคแรก ตกเป็นโมฆะหรือไม่
พิเคราะห์แล้ว ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 655 วรรคแรกบัญญัติว่า “ท่าห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยในดอกเบี้ยที่ค้างชำระแต่ทว่าเมื่อดอกเบี้ยค้างชำระไม่น้อยกว่าปีหนึ่ง คู่สัญญากู้ยืมจะตกลงกันให้เอาดอกเบี้ยนั้นทบเข้ากับต้นเงินแล้ว ให้คิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากันนั้นก็ได้ แต่การตกลงเช่นนั้นต้องทำเป็นหนังสือ” ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคู่สัญญากู้ยืมได้ตกลงกันเป็นหนังสือให้เอาดอกเบี้ยที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระเป็นเวลาหนึ่งปีทบเข้ากับต้นเงินแล้วให้คิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากันนั้นได้ตามข้อยกเว้นของมาตรา 655 วรรคแรกนั้นและข้อตกลงดังกล่าวกฎหมายก็มิได้บัญญัติว่า ต้องกระทำเมื่อดอกเบี้ยค้างชำระครบหนึ่งปีแล้วเท่านั้น ดังนั้นข้อตกลงดังกล่าวหาเป็นโมฆะไม่ จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดใช้หนี้ให้โจทก์เต็มตามฟ้องที่ศาลล่างทั้งสองเห็นว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นโมฆะไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 361,985 บาท16 สตางค์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17 ต่อปี ในต้นเงิน278,262 บาท 50 สตางค์ นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมสามศาลแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความรวม 10,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”.