แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ศาลฎีกามีคำพิพากษาคดีถึงที่สุดไปแล้ว โจทก์ผู้ฎีกาก็ยังมีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอค่าขึ้นศาลส่วนที่เสียเกินมาในชั้นฎีกาได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองขอเงินค่าทดแทนที่ดินเพิ่มจำนวน 2,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
หลังจากศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2541 แล้วต่อมาวันที่ 21 พฤษภาคม 2542 โจทก์ยื่นคำร้องว่า อุทธรณ์และฎีกาของโจทก์เป็นอุทธรณ์และฎีกาคำสั่งปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาล 200 บาท แต่เจ้าหน้าที่ศาลให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ขอให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินในชั้นอุทธรณ์และฎีกาแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2542 ว่า อุทธรณ์และฎีกาของโจทก์เป็นกรณีขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ที่โจทก์ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์จึงชอบแล้ว ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งที่ไม่อนุญาตให้คืนเงินค่าขึ้นศาลแก่โจทก์ แล้วมีคำสั่งอนุญาตให้คืนเงินค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงวันที่ 22 มิถุนายน 2542 ว่า ศาลฎีกาพิพากษาไปแล้วจึงไม่มีเหตุที่ศาลชั้นต้นจะเพิกถอนคำสั่งเดิม ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2542
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า แม้โจทก์จะอุทธรณ์และฎีกาว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้มาด้วยก็ตาม ก็เป็นอุทธรณ์และฎีกาโต้แย้งที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 เท่านั้น ไม่ได้อุทธรณ์และฎีกาในเนื้อหาที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าทดแทนที่ดินเพิ่มอีก 2,000,000 บาท และแม้ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาจะพิพากษาว่า อุทธรณ์และฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น ก็จะเข้าไปวินิจฉัยเรื่องเรียกเงินค่าทดแทนที่ดินเพิ่มยังไม่ได้ เพราะยังไม่มีข้อเท็จจริงเนื่องจากศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสอง ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสองจนสิ้นกระแสความแล้วพิพากษาใหม่ ดังนั้น อุทธรณ์และฎีกาของโจทก์จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ซึ่งตามตาราง 1 ข้อ (2) (ก) ท้าย ป.วิ.พ. กำหนดให้เสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท ที่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์จำนวน 200 บาท นั้นถูกต้องแล้ว แต่ที่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาจำนวน 50,000 บาท เป็นการเสียค่าขึ้นศาลเกินมาไม่ถูกต้อง จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เสียเกินมาให้แก่โจทก์
พิพากษากลับ ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เสียเกินมาเป็นเงินจำนวน 49,800 บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ในชั้นฎีกาให้เป็นพับ.