แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คำพิพากษาระบุไว้ชัดเจนว่าให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์ หากไม่ชำระหนี้ให้ยึดที่ดินทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 3 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ เมื่อจำเลยที่ 3นำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์เพื่อไถ่ถอนจำนองและโจทก์ตกลงรับชำระหนี้ จึงเป็นการปฏิบัติตามคำพิพากษาในลำดับแรกแล้วกรณีไม่จำต้องนำที่ดินทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 3 ออกขายตลาด
การที่โจทก์รับชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองที่ดินให้แก่จำเลยที่ 3ย่อมทำให้หนี้ของจำเลยที่ 3 ที่ชำระหนี้ในการไถ่ถอนจำนองระงับลงเท่าจำนวนที่ชำระหนี้ซึ่งมีผลถึงจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่เป็นลูกหนี้ร่วมตามคำพิพากษาด้วย เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ตกลงปลดหนี้ให้แก่จำเลยที่ 3 หนี้ของจำเลยทั้งสามจึงยังไม่ระงับไปหนี้ยังเหลืออยู่อีกจำนวนเท่าใด จำเลยทั้งสามยังคงต้องรับผิดร่วมกันอยู่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 291 โจทก์จึงมีสิทธินำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 2เพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาต่อไปได้จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิขอให้ศาลเพิกถอนการยึดที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 2 ได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจำนวน3,876,921.62 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี และตามสัญญาขายลดเช็ค 7 ฉบับ ให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 3ด้วยเต็มจำนวนหนี้ตามสัญญาขายลดเช็ค ส่วนหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ด้วยเพียงต้นเงิน 1,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยคิดแบบทบต้นร้อยละ 19 ต่อปีหากจำเลยทั้งสามไม่ชำระก็ให้ยึดที่ดินทรัพย์จำนองทั้ง 13 แปลงของจำเลยที่ 3 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์หากไม่พอชำระหนี้ก็ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการยึด
โจทก์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาและคดีถึงที่สุดให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ โดยจำกัดวงเงินให้จำเลยที่ 2ร่วมรับผิด หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระให้ยึดที่ดินทรัพย์จำนองทั้ง 13 แปลงของจำเลยที่ 3 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากไม่พอชำระหนี้ก็ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน ระหว่างที่โจทก์ดำเนินการบังคับคดีจำเลยที่ 3 ขอชำระหนี้แก่โจทก์และขอไถ่ถอนที่ดินทรัพย์จำนองโจทก์จึงรับชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองที่ดินทั้ง 13 แปลงดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 3 แต่โจทก์ยังได้รับชำระหนี้ไม่ครบถ้วนตามคำพิพากษา มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ประการแรกว่าการที่โจทก์ไถ่ถอนที่ดินทรัพย์จำนองให้แก่จำเลยที่ 3 โดยมิได้นำออกขายทอดตลาดเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนในคำพิพากษาหรือไม่ เห็นว่า ตามคำพิพากษาระบุไว้ชัดเจนว่าให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์หากไม่ชำระหนี้ให้ยึดที่ดินทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 3 ออกขายทอดตลาด นำเงินมาชำระหนี้ ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 3 นำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์เพื่อไถ่ถอนจำนองและโจทก์ตกลงรับชำระหนี้จึงเป็นการปฏิบัติตามคำพิพากษาในลำดับแรกแล้วกรณีไม่จำต้องนำที่ดินทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 3 ออกขายทอดตลาดเพราะเป็นสิทธิของโจทก์ที่จะใช้สิทธิเรียกร้องในฐานะเจ้าหนี้สามัญหรือจะบังคับจำนองอย่างใดอย่างหนึ่งก็ย่อมทำได้ การกระทำของโจทก์จึงเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนในคำพิพากษาแล้ว มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2ประการต่อไปว่าการที่โจทก์ไถ่ถอนจำนองที่ดินทั้ง 13 แปลงให้แก่จำเลยที่ 3 เป็นการปลดหนี้ให้แก่จำเลยทั้งสามหรือไม่ เห็นว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยทั้งสามซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วม การที่โจทก์รับชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 3 ย่อมทำให้หนี้ของจำเลยที่ 3 ที่ชำระหนี้ในการไถ่ถอนจำนองระงับลงเท่าจำนวนที่ชำระหนี้ ซึ่งมีผลถึงจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่เป็นลูกหนี้ร่วมตามคำพิพากษาด้วย แต่ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ตกลงปลดหนี้ให้แก่จำเลยที่ 3หนี้ของจำเลยทั้งสามจึงยังไม่ระงับไปหนี้ยังเหลืออยู่อีกจำนวนเท่าใด จำเลยทั้งสามยังคงต้องรับผิดร่วมกันอยู่ ทั้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 291บัญญัติว่า “ถ้าบุคคลหลายคนจะต้องทำการชำระหนี้โดยทำนองซึ่งแต่ละคนจำต้องชำระหนี้สิ้นเชิงไซร้ แม้ถึงว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะได้รับชำระหนี้สิ้นเชิงได้แต่เพียงครั้งเดียว(กล่าวคือลูกหนี้ร่วมกัน) ก็ดีเจ้าหนี้จะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้แต่คนใดคนหนึ่งสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก แต่ลูกหนี้ทั้งปวงก็ยังคงต้องผูกพันอยู่ทั่วทุกคนจนกว่าหนี้นั้นจะได้ชำระเสร็จสิ้นเชิง” ดังนั้น เมื่อปรากฏว่า จำเลยที่ 2 ยังชำระหนี้ส่วนที่ตนต้องรับผิดไม่ครบและโจทก์ยังมิได้รับชำระหนี้เสร็จสิ้นโจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจึงเรียกให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้สิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ย่อมได้ โจทก์จึงมีสิทธินำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 2 ลูกหนี้ตามคำพิพากษาเพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาต่อไปได้จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิขอให้ศาลเพิกถอนการยึดที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 2 ได้ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าการที่โจทก์ยอมให้จำเลยที่ 3 ชำระหนี้เพื่อขอไถ่ถอนจำนองมิใช่เป็นการปลดหนี้ชอบแล้ว คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยที่ 2 อ้างมานั้น ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน