คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2295-2296/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การจัดการมรดกนั้นหาใช่ว่ามุ่งจะรับทรัพย์มรดกโดยถ่ายเดียวหาได้ไม่ หากผู้ตายมีหนี้สินก็มีหน้าที่ต้องรวบรวมทรัพย์มรดกใช้หนี้ด้วยเหลือจากการชำระหนี้เท่าใดจึงเป็นมรดกที่จะนำมาแบ่งกันได้ เหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้ร้องซึ่งเป็นบิดาของผู้ตายกับผู้คัดค้านซึ่งเป็นภริยาของผู้ตายตกลงกันไม่ได้เพราะทางฝ่ายผู้ร้องจะรับเฉพาะทรัพย์สิน ส่วนที่เป็นหนี้สินจะให้ทางฝ่ายผู้คัดค้านเป็นผู้รับไปฝ่ายเดียว ฉะนั้น หากให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกย่อมมีปัญหาในการจัดการมรดก ประการแรกคือ ผู้ร้องไม่อาจทราบได้ว่าผู้ตายมีทรัพย์สินอะไรและอยู่ที่ใดบ้างและประการที่สองคือเจ้าหนี้ก็มุ่งที่จะทวงหนี้ต่อผู้คัดค้านซึ่งเป็นภริยาร่วมรู้เห็นในการสร้างหนี้กันมาในระหว่างสมรส จึงย่อมไม่สะดวกต่อการจัดการทรัพย์มรดก ผู้คัดค้านจึงสมควรที่จะเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแต่เพียงผู้เดียว

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรวมการพิจารณาและมีคำสั่งเข้าด้วยกัน โดยให้เรียกนายกิ่ม ผ่องผุดพันธ์ ผู้ร้องในคดีหมายเลขแดงที่ 1925/2539 ว่าผู้ร้องและให้เรียกนางกุลณิดา ผ่องผุดพันธ์ผู้ร้องในคดีหมายเลขแดงที่ 2681/2539 ว่าผู้คัดค้าน

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของพลอากาศตรีโกศล ผ่องผุดพันธ์ ผู้ตาย ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายเช่นเดียวกัน จากนั้นทั้งสองฝ่ายต่างยื่นคำร้องขอให้ถอนอีกฝ่ายหนึ่งจากการเป็นผู้จัดการมรดก โดยผู้ร้องอ้างว่า ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกโดยมิได้จำกัดอำนาจไว้แต่เฉพาะทรัพย์บางอย่าง การที่ผู้คัดค้านร้องขอให้ตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดกรายเดียวกันนี้ซ้อนขึ้นอีก เป็นการไม่ชอบ ขอให้เพิกถอนคำสั่งตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรก ส่วนผู้คัดค้านอ้างว่า ผู้ร้องไม่อยู่ในสภาพที่จะดำเนินการในฐานะผู้จัดการมรดกได้ เพราะชราภาพมากแต่ได้มอบหมายให้ผู้อื่นดำเนินการแทน ประกอบกับทรัพย์มรดกอยู่ในความครอบครองของผู้คัดค้าน ขอให้เพิกถอนคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดก

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ถอนนายกิ่ม ผ่องผุดพันธ์ ผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกของพลอากาศตรีโกศล ผ่องผุดพันธ์ ผู้ตาย ให้ยกคำร้องขอของผู้ร้อง และให้นางกุลณิดา ผ่องผุดพันธ์ ผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายต่อไป ให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่เพิกถอนนายกิ่ม ผ่องผุดพันธ์ผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกของพลอากาศตรีโกศล ผ่องผุดพันธ์ผู้ตาย ให้ยกคำร้องขอของผู้คัดค้านด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำสั่งของศาลชั้นต้น

ผู้คัดค้านฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่ได้ความจากผู้คัดค้านว่าขณะผู้ตายและผู้คัดค้านแต่งงานกันทั้งสองฝ่ายไม่มีสินส่วนตัวได้ร่วมกันทำมาหากินจนสามารถซื้อรถยนต์เก๋ง ที่ดินพร้อมทั้งก่อสร้างบ้านอันเป็นทรัพย์มรดกที่ผู้ร้องได้มาร้องขอจัดการเป็นคดีพิพาทนี้ ผู้ร้องไม่ได้นำสืบโต้แย้งข้อเท็จจริงให้เห็นเป็นอย่างอื่นจึงต้องฟังว่าทรัพย์สินดังกล่าวทั้งหมดเป็นสินสมรส ดังนั้น เมื่อผู้ตายถึงแก่กรรมจึงต้องแบ่งให้แก่ผู้คัดค้านกึ่งหนึ่งก่อน เหลือจากนั้นจึงเป็นมรดกที่ตกแก่ทายาทซึ่งมีเพียงผู้ร้องและผู้คัดค้านเพียงสองคนเท่านั้นเมื่อทรัพย์มรดกทั้งหมดทางฝ่ายผู้ร้องไม่มีส่วนร่วมสร้างมา แม้กระทั่งรายละเอียดการได้มาอย่างไรข้อเท็จจริงก็ไม่ปรากฏว่าผู้ร้องได้ทราบหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนตามที่ผู้คัดค้านยื่นคำแถลงประกอบกับเอกสารที่แสดงรายละเอียดว่า ผู้ตายมีหนี้สินค้างชำระต่อบุคคลภายนอกหลายรายเช่นหนี้ค่าซื้อวัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้างบ้าน หนี้ที่ต้องกู้ยืมเงินธนาคารมาก่อสร้างบ้านโดยนำที่ดินไปจดทะเบียนจำนองไว้เมื่อเจ้าหนี้ทราบว่าผู้ตายถึงแก่กรรมต่างก็มาทวงหนี้จากผู้คัดค้านในฐานะที่เป็นภริยาผู้ร่วมรู้เห็นในการก่อหนี้ดังกล่าวทั้งสิ้น จึงเห็นว่าในการจัดการทรัพย์มรดกนั้นหาใช่ว่ามุ่งจะรับทรัพย์มรดกโดยถ่ายเดียวหาได้ไม่ หากผู้ตายมีหนี้สินก็มีหน้าที่ต้องรวบรวมทรัพย์มรดกใช้หนี้ด้วยเหลือจากชำระหนี้เท่าใด จึงเป็นมรดกที่จะนำมาแบ่งกันได้ ตามหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนได้ความว่าเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้ร้องกับผู้คัดค้านตกลงกันไม่ได้เพราะทางฝ่ายผู้ร้องจะรับเฉพาะทรัพย์สิน ส่วนที่เป็นหนี้สินจะให้ทางฝ่ายผู้คัดค้านเป็นผู้รับไปฝ่ายเดียว ฉะนั้น หากให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกเป็นที่เห็นได้ว่าย่อมจะมีปัญหาในการจัดการมรดกสองประการ ประการแรกผู้ร้องไม่อาจทราบได้ว่าผู้ตายมีทรัพย์สินอะไรและอยู่ที่ใดบ้าง เนื่องจากไม่ได้ร่วมสร้างมาและไม่ได้อยู่กับผู้ตายจึงต้องอาศัยการสอบถามจากผู้อื่นโดยเฉพาะคือถามจากผู้คัดค้านซึ่งถือว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อกันจึงไม่สะดวกต่อการจัดการมรดกและยังเป็นการฝืนต่อความเป็นธรรมอีกด้วย ประการที่สองดังที่กล่าวมาข้างต้นว่าการจัดการมรดกนั้นหมายความรวมถึงจัดการชำระหนี้ของเจ้ามรดกด้วยในเมื่อผู้ร้องไม่ได้มีส่วนร่วมรู้เห็นในการก่อหนี้ของผู้ตายฉะนั้นเจ้าหนี้ก็มุ่งที่จะทวงหนี้ต่อผู้คัดค้านซึ่งเป็นภริยาร่วมรู้เห็นในการสร้างหนี้กันมาในระหว่างสมรสจึงย่อมไม่สะดวกต่อการจัดการทรัพย์มรดกอันมีผลในประการสำคัญว่าจะกลายเป็นว่าเข้ามาจัดการมรดกเพื่อรับทรัพย์มรดกโดยไม่รับรู้ถึงหนี้สินที่เจ้ามรดกค้างชำระต่อบุคคลภายนอกจึงไม่ถูกต้องด้วยเหตุสองประการดังกล่าวมา จึงเห็นว่าผู้คัดค้านสมควรที่จะเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้คัดค้านฟังขึ้น”

พิพากษาแก้ ให้บังคับคดีตามคำสั่งศาลชั้นต้น

Share