คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2514/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 31ว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์ พ.ศ. 2519 กำหนดให้จ่ายเงินสงเคราะห์แก่ลูกจ้างเมื่อลูกจ้างออกจากงานเพราะเกษียณอายุ ถูกเลิกจ้างหรือลาออกหรือตาย เป็นการจ่ายเงินสวัสดิการหรือประโยชน์อื่นของลูกจ้างอันเกี่ยวกับการจ้างหรือการทำงาน ตรงกับความหมายของสภาพการจ้างตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ฯ มาตรา 5จำเลยได้ใช้บังคับกับพนักงานตลอดมา จึงเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่ไม่ได้เกิดจากการแจ้งข้อเรียกร้องระหว่างจำเลยกับลูกจ้าง หากจำเลยประสงค์จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกข้อบังคับนี้ในทางที่ไม่เป็นคุณแก่ลูกจ้าง จำเลยจะต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้างก่อน หรือมิฉะนั้นจะต้องแจ้งข้อเรียกร้องตาม พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ฯ มาตรา 13 จนมีการเจรจาตกลงกัน หรือหากไม่สามารถตกลงกันได้ก็ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามขั้นตอนของพ.ร.บ. ดังกล่าวต่อไป อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่าข้อบังคับดังกล่าวเป็นคำสั่งระเบียบแบบแผนซึ่งออกโดยกฎหมายปกครอง ไม่ต้องนำไปตกลงกับลูกจ้าง ไม่ใช่เรื่องที่จะนำกฎหมายแรงงานมาใช้บังคับ แม้จำเลยจะได้ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การ แต่ศาลแรงงานกลางได้พิจารณาพิพากษาคดีเสร็จแล้วโดยไม่มีเหตุสงสัยว่าคดีนี้ไม่นำกฎหมายแรงงานมาใช้บังคับและไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานกลาง และศาลแรงงานกลางมิได้ยกปัญหานี้ขึ้นว่ากล่าวแต่อย่างใด จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225ประกอบด้วย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 31.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2516 จำเลยได้มีคำสั่งแต่งตั้งและบรรจุโจทก์เป็นพนักงานตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายธุรการ ต่อมาจำเลยให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุเกษียณอายุเมื่อวันที่ 1ตุลาคม 2532 โจทก์ได้รับเงินเดือนสุดท้ายเดือนละ 25,240 บาท แต่ได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือนเพื่อคำนวณการจ่ายเงินสงเคราะห์ในอัตรา 26,760 บาท ในขณะที่โจทก์ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งเป็นพนักงานของจำเลย จำเลยมีข้อบังคับฉบับที่ 31 ว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์พ.ศ. 2519 กำหนดให้พนักงานมีสิทธิได้รับกองทุนสงเคราะห์เมื่อพ้นจากตำแหน่ง เพราะเหตุครบเกษียณอายุ โจทก์มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์จากกองทุนสงเคราะห์จำนวนเงินเท่ากับเงินเดือนสุดท้ายคูณด้วยอายุการทำงาน ข้อบังคับดังกล่าวถือได้ว่าเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ต่อมาจำเลยได้ออกข้อบังคับ ฉบับที่ 24 ว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์ พ.ศ. 2525 โดยกำหนดไว้ในข้อ 17 ว่า “พนักงานที่มีสิทธิได้รับเงินค่าชดเชยตามกฎหมายเกี่ยวกับแรงงานแล้ว ไม่มีสิทธิที่จะรับเงินกองทุนสงเคราะห์ตามข้อบังคับฉบับนี้ แต่ถ้าค่าชดเชยที่มีสิทธิได้รับนั้นต่ำกว่าเงินสงเคราะห์ที่จะได้รับก็ให้จ่ายเงินเพิ่มให้เท่ากับจำนวนที่ต่ำกว่านั้น” ข้อบังคับดังกล่าวของจำเลยไม่เป็นคุณแก่ลูกจ้างจึงไม่มีผลใช้บังคับ โจทก์ทวงถามให้จำเลยจ่ายเงินกองทุนสงเคราะห์แก่โจทก์ตามข้อบังคับ ฉบับที่ 31 ซึ่งโจทก์มีสิทธิได้รับเงินจำนวน 428,160 บาท แต่จำเลยจ่ายให้โจทก์เพียง276,720 บาท ยังขาดอยู่อีกจำนวน 151,440 บาท ขอให้จำเลยจ่ายเงินกองทุนสงเคราะห์ตามข้อบังคับ ฉบับที่ 31 ว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์พ.ศ. 2519 เป็นเงินจำนวน 151,440 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2532จนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยมีข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 24 ว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์ พ.ศ. 2525 ใช้ในการจ่ายเงินกองทุนสงเคราะห์ตามข้อบังคับดังกล่าว ข้อ 14 และข้อ 17พนักงานที่มีสิทธิได้รับเงินค่าชดเชยตามกฎหมายเกี่ยวกับแรงงานแล้วไม่มีสิทธิได้รับเงินกองทุนสงเคราะห์ เว้นแต่ค่าชดเชยนั้นต่ำกว่าค่าเงินสงเคราะห์ก็ให้จ่ายเพิ่มให้เท่าจำนวนที่ต่ำกว่านั้น โจทก์ได้รับค่าจ้างเพื่อใช้ในการคำนวณเงินกองทุนสงเคราะห์เงินเดือนสุดท้ายน เดือนละ 26,760 บาท โจทก์มีอายุการทำงาน 16 ปี ดังนั้นเงินกองทุนสงเคราะห์ที่จะจ่ายเพิ่มให้โจทก์จึงเท่ากับ 26,760 บาทคูณ 16 แล้วหักด้วยจำนวนเงินค่าชดเชย 151,440 บาท โจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินกองทุนสงเคราะห์เท่ากับ 276,720 บาทเท่านั้น จำเลยมีอำนาจที่จะออกข้อบังคับ ฉบับที่ 24 เพื่อให้มีผลเป็นการยกเลิกข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 31 ว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์ พ.ศ. 2519 ได้ข้อบังคับดังกล่าวไม่มีลักษณะเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง การที่จำเลยออกข้อบังคับ ฉบับที่ 24 ว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์ พ.ศ. 2525 จึงไม่เป็นการขัดหรือแย้งกับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่ไม่เป็นคุณแก่ลูกจ้าง
ศาลแรงงานกลาง พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 151,440 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “จำเลยอุทธรณ์ว่า ข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 31 ว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์พ.ศ. 2519 มิใช่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง แต่เป็นคำสั่งระเบียบแบบแผนซึ่งออกโดยกฎหมายปกครองจำเลยไม่ต้องนำมาตกลงกับลูกจ้างและไม่ใช่เรื่องที่จะนำกฎหมายคุ้มครองแรงงานมาใช้บังคับ
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยฉบับที่ 31 ว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์ พ.ศ. 2519 ข้อ 7, 8กำหนดไว้ว่า
“ข้อ 7 ภายใต้บังคับข้อ 10 ให้ผู้ปฏิบัติงานที่พ้นจากตำแหน่งในกรณีดังต่อไปนี้มีสิทธิได้รับเงินจากกองทุนสงเคราะห์ตามเกณฑ์ในข้อ 8
(1) ครบเกษียณอายุ
(2) ให้ออกหรือเลิกจ้าง เว้นแต่กรณีให้ออกหรือเลิกจ้างเพราะขาดคุณสมบัติซึ่งผู้ปฏิบัติงานได้จงใจปกปิดข้อเท็จจริงไว้ในขณะเข้าปฏิบัติงาน และกรณีให้ออกหรือเลิกจ้างเพราะขาดพื้นความรู้อยู่ก่อนได้รับการบรรจุเป็นพนักงานหรือก่อนได้รับการจ้างเป็นลูกจ้าง
(3) การลาออก
(4) ตาย
ทั้งนี้ผู้ปฏิบัติงานนั้นต้องมีอายุการทำงานไม่น้อยกว่าหนึ่งปีสำหรับกรณี (1) หรือ (2) และไม่น้อยกว่าห้าปีสำหรับกรณี (3) และไม่จำกัดอายุการทำงานสำหรับกรณี (4)
ข้อ 8 ผู้มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์ตามข้อ 7 มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์จากกองทุนสงเคราะห์เป็นจำนวนเงินเท่ากับเงินเดือนเดือนสุดท้ายคูณด้วยอายุการทำงาน
อายุการทำงานตามวรรคหนึ่ง ให้นับแต่จำนวนปีโดยถืออายุการทำงานสามร้อยหกสิบห้าวันเป็นหนึ่งปี เศษของปีถ้ากึ่งหนึ่งร้อยแปดสิบสามวันให้นับเป็นหนึ่งปี ถ้าไม่ถึงหนึ่งร้อยแปดสิบสามวันให้ตัดทิ้ง”
จะเห็นได้ว่าข้อบังคับดังกล่าวของจำเลยได้กำหนดจ่ายเงินสงเคราะห์ให้แก่ลูกจ้างเมื่อลูกจ้างออกจากงานเพราะเกษียณอายุถูกเลิกจ้างหรือลาออกหรือตาย จึงเป็นการจ่ายเงินสวัสดิการหรือประโยชน์อื่นของลูกจ้างอันเกี่ยวกับการจ้างหรือการทำงานตรงกับความหมายของสภาพการจ้างตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 5 จำเลยได้ใช้บังคับกับพนักงานตลอดมาข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 31 นี้จึงเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่ไม่ได้เกิดจากการแจ้งข้อเรียกร้องระหว่างจำเลยกับลูกจ้างหากจำเลยประสงค์จะแก้ไขเปลียนแปลงหรือยกเลิกข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 31 ในทางที่ไม่เป็นคุณแก่ลูกจ้าง จำเลยจะต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้างเสียก่อน หรือมิฉะนั้นจะต้องแจ้งข้อเรียกร้องตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 13 จนมีการเจรจาตกลงกันหรือหากไม่สามารถตกลงกันได้ก็ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ต่อไป แต่ปรากฏว่าจำเลยได้ออกข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 24 ว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์ พ.ศ. 2525 ให้ยกเลิกข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมฉบับที่ 31 และใช้ข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่24 แทนตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2525 เป็นต้นไป ตามข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 24 ได้กำหดนไว้ในข้อ 17 ว่า
“พนักงานที่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามกฎหมายเกี่ยวกับแรงงานแล้ว ไม่มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์ตามข้อบังคับนี้ แต่ถ้าค่าชดเชยที่มีสิทธิได้รับนั้นต่ำกว่าเงินสงเคราะห์ที่จะได้รับตามข้อบังคับนี้ ก็ให้จ่ายเพิ่มให้เท่าจำนวนที่ต่ำกว่านั้น”
ข้อบังคับฉบับใหม่นี้ ได้ตัดสิทธิของลูกจ้างที่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่ให้มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์ แต่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามข้อบังคับฉบับเดิมไม่ได้กำหนดให้ลูกจ้างที่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์แต่อย่างใดข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 24 ซึ่งเป็นข้อบังคับฉบับใหม่จึงมีผลเป็นการแก้ไขเปลียนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่ไม่เป็นคุณต่อลูกจ้างเดิมที่ปฏิบัติงานอยู่ก่อนวันที่ 20 กรกฎาคม2525 เมื่อการแก้ไขเปลี่ยนแปลงมิได้กระทำโดยถูกต้องตามกฎหมายดังกล่าว การประกาศใช้ข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยฉบับที่ 24 ของจำเลยคงมีผลเฉพาะลูกจ้างใหม่ที่เข้าทำงานภายหลักการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเท่านั้น หามีผลต่อลูกจ้างที่ทำงานอยู่ก่อนวันที่ข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรม ฉบับที่ 24 มีผลใช้บังคับคือวันที่ 20 กรกฎาคม 2525 ไม่ โจทก์เป็นลูกจ้างที่ปฏิบัติงานอยู่ก่อนวันที่ 20 กรกฎาคม 2525 จึงมีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์ตามข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรม ฉบับที่ 31 ข้อ 4 ข และ 8 เดิม จำเลยจะนำเอาข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรม ฉบับที่ 24 มาใช้บังคับเพื่อเป็นเกณฑ์ในการจ่ายเงินสงเคราะห์ให้แก่โจทก์โดยการจ่ายเงินสงเคราะห์เฉพาะส่วนที่มากกว่าค่าชดเชยทำให้โจทก์ได้รับเงินสงเคราะห์น้อยลงหาได้ไม่ โจทก์คงมีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์เต็มจำนวนตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 31…
ส่วนอุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า ข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 31 ว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์ พ.ศ. 2519 เป็นคำสั่งระเบียบแบบแผนซึ่งออกโดยกฎหมายปกครอง ไม่ต้องนำมาตกลงกับลูกจ้าง ไม่ใช่เรื่องที่จะนำกฎหมายคุ้มครองแรงงานมาใช้บังคับเห็นว่า ประเด็นนี้แม้จำเลยได้ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การาแต่ศาลแรงงานกลางได้พิจารณาพิพากษาคดีนี้เสร็จแล้ว โดยไม่มีเหตุสงสัยว่าคดีนี้ไม่นำกฎหมายแรงงานมาใช้บังคับและไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานกลางและศาลแรงงานกลางมิได้ยกปัญหานี้ขึ้นว่ากล่าวแต่อย่างใด จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
พิพากษายืน.

Share