แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ถนนที่ ส. ผู้จัดสรรได้จัดให้เป็นทางเข้าออกตามโครงการสู่ทางสาธารณะได้นั้นไม่สามารถใช้ได้เนื่องจากมีสภาพเป็นหนองน้ำ ส. จึงจัดให้ใช้ที่ดินพิพาททั้ง 2 แปลง เป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะถนนดาวดึงส์ติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว จนเทศบาลนครสวรรค์ได้เข้ามาปรับปรุงเกลี่ยดินในที่ดินพิพาททั้ง 2 แปลง เป็นถนนและเคยนำยางแอสฟัลต์มาราดถึง 2 ครั้ง โดย ส. มิได้ โต้แย้งหรือคัดค้าน ถือได้ว่า ส. จัดให้ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 10218 ของจำเลยที่ 2 เป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะถนนดาวดึงส์อันเป็นสาธารณูปโภคเพื่อการจัดสรรที่ดินตามโครงการที่ดินดังกล่าวย่อมตกอยู่ในภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินจัดสรรโดยผลแห่งกฎหมายตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286ฯ ข้อ 32 ประกอบข้อ 30 แม้จำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 10218 มาจาก ส. โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ก็ไม่ทำให้ทางภาระจำยอมนั้นระงับสิ้นไป จำเลยที่ 2 จึงต้องรับภาระตามกฎหมายดังกล่าวด้วยโดยไม่คำนึงว่าโจทก์ทั้งห้าได้ทางภาระจำยอมโดยอายุความหรือไม่
โจทก์ทั้งห้าบรรยายฟ้องว่า ที่ดินของโจทก์ทั้งห้าอยู่ในโครงการจัดสรรที่ดินเพื่อขายของ ส. ซึ่งจัดแบ่งที่ดินเป็นแปลงๆ พร้อมทางเข้าออกของที่ดินตามโครงการจัดสรร แต่เนื่องจากสภาพที่ดินตามที่ ส. ได้จัดแบ่งให้เป็นทางเข้าออกตามโครงการจัดสรรไม่สามารถใช้เป็นทางเข้าออกได้ เนื่องจากที่ดินส่วนอื่นๆ เป็นหนองน้ำเกือบหมดทั้งโครงการ ส. จึงได้ยกที่ดินพิพาททั้ง 2 แปลง ให้เป็นทางเข้าออกผ่านออกสู่ทางสาธารณะ โจทก์ทั้งห้าใช้ทางดังกล่าวออกสู่ทางสาธารณะโดยสงบและเปิดเผยติดต่อกันเกินกว่า 10 ปี จนได้เป็นทางภาระจำยอมตามกฎหมายเป็นการบรรยายถึงสิทธิของโจทก์ทั้งห้าที่จะใช้ทางพิพาทได้โดยไม่ให้จำเลยทั้งสองปิดกั้น เมื่อศาลเห็นว่า ที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 2 ตกอยู่ในภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินจัดสรรโดยผลแห่งกฎหมาย ศาลก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนรั้วสังกะสีที่จำเลยทั้งสองปิดกั้นเส้นทางเข้าออกภายใน 3 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา ให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนที่ดินตามโฉนดเลขที่ 10179 และ 10218 ที่ดินเลขที่ 580 และ 619 ตำบลนครสวรรค์ตก (ปากน้ำโพ) อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดสวรรค์เป็นทารภาระจำยอม หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนรั้วสังกะสีที่จำเลยทั้งสองปิดกั้นเส้นทางเข้าออก ตามภาพถ่ายเอกสารท้ายฟ้องหมายเลขที่ 23 ออกไปจากทางเดินและให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนที่ดินตามโฉนดเลขที่ 10179 และ 10218 ที่ดินเลขที่ 580 และ 619 ตำบลนครสวรรค์ตก (ปากน้ำโพ) อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ เป็นทางภาระจำยอม หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง คำขออื่นให้ยก
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนที่ดินตามโฉนดเลขที่ 10179 และ 10218 ที่ดินเลขที่ 580 และ 619 ตำบลนครสวรรค์ตก (ปากน้ำโพ) อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ เป็นทางภาระจำยอมนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 10177, 10178, 10216 และ 10217 โจทก์ที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 10246 ถึง 10255 โจทก์ที่ 3 เป็นเจ้ากรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 10219 และ 10220 โจทก์ที่ 4 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 15389 และโจทก์ที่ 5 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 10256 และ 10257 ส่วนจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 10179 และจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 10218 โดยเดิมที่ดินทุกแปลงดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงใหญ่โฉนดเลขที่ 3295 ตำบลนครสวรรค์ตก (ปากน้ำโพ) อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งมีการแบ่งที่ดินในนามเดิมรวม 289 โฉนด ซึ่งนายสุเทพ กฤชากาญจนพันธ์ ได้ซื้อแล้วจัดสรรขายให้แก่โจทก์ทั้งห้าและชาวบ้านทั่วไปอันเป็นการจัดสรรที่ดินอยู่ก่อน วันที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 286 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2515 มีผลใช้บังคับและขายให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 คดีสำหรับจำเลยที่ 1 เป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 10179 ของจำเลยที่ 1 ตกเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งห้าโดยอายุความ คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่าที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 10218 ของจำเลยที่ 2 ตกเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งห้าโดยอายุความหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ทั้งห้านำสืบว่าถนนที่นายสุเทพผู้จัดสรรได้จัดให้เป็นทางเข้าออกตามโครงการสู่ทางสาธารณะได้นั้นไม่สามารถใช้ได้เนื่องจากมีสภาพเป็นหนองน้ำ นายสุเทพจึงจัดให้ใช้ที่ดินพิพาททั้ง 2 แปลง เป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะถนนดาวดึงส์ติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี แล้ว จนเทศบาลนครสวรรค์ได้เข้ามาปรับปรุงเกลี่ยดินในที่ดินพิพาททั้ง 2 แปลง เป็นถนนและเคยนำยางแอสฟัสต์มาราดถึง 2 ครั้ง โดยนายสุเทพมิได้โต้แย้งหรือคัดค้านซึ่งจำเลยที่ 2 ก็เบิกความตอบคำถามค้านของทนายโจทก์ทั้งห้ายอมรับว่ามีชุมชนอยู่บริเวณหลังที่ดินพิพาทและชาวบ้านในชุมชนดังกล่าวใช้ที่ดินพิพาทเป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะ โดยไม่เคยขออนุญาตจากนายสุเทพมาก่อน ทั้งนายสุเทพก็มิได้เบิกความปฏิเสธว่าเทศบาลนครสวรรค์ไม่ได้เข้าไปดำเนินการดังกล่าวในโครงการจัดสรรที่ดิน แสดงว่านายสุเทพ ยินยอมให้โจทก์ทั้งห้าและผู้ซื้อที่ดินจัดสรรกับชาวบ้านทั่งไปใช้เป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะถนนดาวดึงส์ได้อีกทางหนึ่งโดยนายสุเทพไม่เคยหวงห้ามมาก่อน ตามพฤติการณ์ของนายสุเทพดังกล่าว ถือได้ว่านายสุเทพจัดให้ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 10218 ของจำเลยที่ 2 เป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะถนนดาวดึงส์อันเป็นสาธารณูปโภคเพื่อการจัดสรรที่ดินตามโครงการ ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 10218 ของจำเลยที่ 2 ย่อมตกอยู่ในภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินจัดสรร โดยผลแห่งกฎหมายตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2515 ข้อ 32 ประกอบข้อ 30 แม้จำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 10218 มาจากนายสุเทพโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ก็ไม่ทำให้ทางภาระจำยอมนั้นระงับสิ้นไป จำเลยที่ 2 จึงต้องรับภาระตามกฎหมายดังกล่าวด้วยโดยไม่คำนึงว่าโจทก์ทั้งห้าได้ทางภาระจำยอม โดยอายุความหรือไม่ ทั้งคดีนี้โจทก์ทั้งห้าบรรยายฟ้องว่า ที่ดินของโจทก์ทั้งห้าอยู่ในโครงการจัดสรรที่ดินเพื่อขายนายสุเทพ กฤชกาญจนพันธ์ ซึ่งจัดแบ่งที่ดินเป็นแปลงๆ พร้อมทางเข้าออกของที่ดินตามโครงการจัดสรร แต่เนื่องจากสภาพที่ดินตามที่นายสุเทพได้จัดแบ่งให้เป็นทางเข้าออกตามโครงการจัดสรรไม่สามารถใช้เป็นทางเข้าออกได้ เนื่องจากที่ดินส่วนอื่นๆ เป็นหนองน้ำเกือบหมดทั้งโครงการ นายสุเทพจึงได้ยกที่ดินพิพาททั้ง 2 แปลง ให้เป็นทางเข้าออกผ่านออกสู่ทางสาธารณะ โจทก์ทั้งห้าใช้ทางดังกล่าวออกสู่ทางสาธาระโดยสงบและเปิดเผยติดต่อกันเกินกว่า 10 ปี จนได้เป็นทางภาระจำยอมตามกฎหมาย เป็นการบรรยายถึงสิทธิของโจทก์ทั้งห้าที่จะใช้ทางพิพาทได้โดยไม่ให้จำเลยทั้งสองปิดกั้น เมื่อศาลเห็นว่าที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 2 ตกอยู่ในภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินจัดสรรโดยผลแห่งกฎหมาย ศาลก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน