คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2513/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายกับจำเลยเคยรักใคร่กัน ต่อมาจำเลยเลิกติดต่อกับผู้เสียหายผู้เสียหายโกรธเคยตบหน้าจำเลยและมีหนังสือแจ้งว่าจะทำลายล้างจำเลยและ มารดาจำเลยจะเอาน้ำกรดสาดหน้าจำเลย วันเกิดเหตุผู้เสียหายมาที่ประตูบ้านจำเลย จำเลยร้องบอกให้มารดาผู้เสียหายมาเอาตัวผู้เสียหายไป มารดาผู้เสียหายบอกให้ผู้เสียหายกลับบ้านแต่ผู้เสียหายกลับเดินเข้าไปหาจำเลย จำเลยบอกให้ออกไปผู้เสียหายกลับพูดว่าไม่มีใครช่วยมึงได้ พฤติการณ์เช่นนี้ย่อมเห็นได้ว่าผู้เสียหายเข้าไปเพื่อจะทำร้ายจำเลยแต่ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายมีอาวุธ การที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้เสียหายจึงเป็นการพยายามฆ่าโดยป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๙ เวลากลางวัน จำเลยบังอาจใช้อาวุธปืนพกยิงนายธีระ สระสี โดยเจตนาฆ่าแต่กระสุนปืนพลาดไปถูกโดนขาซ้ายของผู้เสียหายและแพทย์รับตัวผู้เสียหายไว้รักษาทันท่วงที ผู้เสียหายจึงไม่ถึงแก่ความตายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าที่จำเลยยิงผู้เสียหายนัดแรกเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ ส่วนที่จำเลยยิงผู้เสียหายนัดที่ ๒ และ ๓ เป็นการยิงขู่ พิพากษายกฟ้องโจทก์ของกลางคืนเจ้าของ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ๘๐ และ ๗๒ จำคุก ๒ ปี แต่ให้รอการลงโทษไว้ ๓ ปีตามมาตรา ๕๖ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าผู้เสียหายและจำเลยอยู่ใกล้กัน เคยรักใคร่กันฉันชู้สาวต่อมาปรากฏว่าผู้เสียหายชอบเล่นการพนันและถูกจับในข้อหาว่าข่มขืนกระทำชำเราหญิง มารดาจำเลยจึงให้จำเลยเลิกติดต่อกับผู้เสียหาย ผู้เสียหายเคยตบหน้าจำเลยและส่งหนังสือมาว่าจะทำลายล้างจำเลยและมารดาให้ถึงที่สุดกับมีหนังสือขู่ว่าจะเอาน้ำกรด สาดจำเลยให้ตาบอดชั่วชีวิต วันเกิดเหตุผู้เสียหายไปที่บ้านจำเลย ขณะนั้นจำเลยอยู่บ้านคนเดียว เมื่อจำเลยร้องบอกให้มารดาของผู้เสียหายมาเอาตัวผู้เสียหายไปและมารดาผู้เสียหายมาบอกแล้ว แทนที่ผู้เสียหายจะกลับไปบ้านกลับเดินไปที่ประตูบ้านจำเลยจะเข้าไปหาจำเลยซึ่งอยู่ใกล้ประตูบ้าน เมื่อจำเลยบอกให้ผู้เสียหายออกไปผู้เสียหายพูดว่าไม่มีใครช่วงมึงได้หรอก พฤติการณ์ของผู้เสียหายเช่นนี้ย่อมจะทำให้จำเลยเข้าใจว่าผู้เสียหายเข้าไปเพื่อจะทำร้ายจำเลย แต่ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายมีอาวุธและยังไม่ทันจะทำร้ายจำเลย การที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้เสียหายจึงเป็นการพยายามฆ่าผู้เสียหายโดยป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ ไม่ใช่เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐ ประกอบด้วยมาตรา ๖๙ จำคุก ๑ ปี แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยกระทำผิดมาก่อน จึงให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด ๒ ปี ตามมาตรา ๕๖ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share