คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 242/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความผิดฐานปล้นทรัพย์เป็นความผิดที่รวมการกระทำผิดฐานลักทรัพย์อยู่ด้วนในตัว ดังนั้น แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์แต่เมื่อข้อเท็จจริงในทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ศาลก็ลงโทษจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่กับพวกได้ร่วมกันปล้นทรัพย์และใช้อาวุธปืนยิงพยายามฆ่าพวกของเจ้าทรัพย์ที่เข้าขัดขวาง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐, ๓๔๐ ทวิ, ๓๔๐ ตรี, ๒๘๙, ๘๐, ๘๓, ๙๑ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๑๔, ๑๕ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๒๖ มาตรา ๔
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่าจำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ ทวิ วรรค ๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๒๕ มาตรา ๑๒ จำคุกคนละ ๖ ปี ลดโทษตามมาตรา ๗๘ หนึ่งในสาม จำคุกคนละ ๔ ปี ข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ วรรคท้าย บัญญัติว่า’ถ้าความผิดตามที่ฟ้องนั้นรวมการกระทำหลายอย่าง แต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลจะลงโทษจำเลยในการกระทำผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่พิจารณาได้ความก็ได้’ คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสี่กับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายไปโดยทุจริต และขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๐, ๓๔๐ ทวิ, ๓๔๐ ตรี เห็นว่า ความผิดฐานปล้นทรัพย์เป็นความผิดที่รวมการกระทำผิดฐานลักทรัพย์อยู่ด้วยในตัว ดังนั้นแม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์ แต่เมื่อข้อเท็จจริงในทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ศาลก็ลงโทษจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ วรรคท้าย แม้โจทก์จะไม่ได้อ้างมาตรา ๓๓๕ ทวิ มาในคำขอท้ายฟ้องก็ตาม
พิพากษายืน.

Share