คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2511/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำร้ายร่างกายโจทก์และเรียกค่าเสียหายจำเลยให้การว่าโจทก์จำเลยสมัครใจวิวาททำร้ายกัน ขอให้ยกฟ้องดังนี้แม้จะปรากฏว่าจำเลยเคยถูกพนักงานอัยการฟ้องว่าจำเลยทำร้ายร่างกายโจทก์และจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลพิพากษาลงโทษจำเลย คดีถึงที่สุดแล้วก็ตาม กรณีก็ยังต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่าโจทก์จำเลยสมัครใจวิวาททำร้ายกันหรือไม่ เมื่อพยานหลักฐานฟังไม่ได้ว่าโจทก์จำเลยสมัครใจวิวาทกัน โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำร้ายโจทก์สาหัสขอให้ใช้ค่าเสียหายจำเลยให้การว่าเป็นการสมัครใจวิวาทกัน และจำเลยก็ได้รับบาดเจ็บด้วย โจทก์บาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ค่าเสียหายเกินความจริง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 9,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย โจทก์จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทน13,170 บาทพร้อมดอกเบี้ย จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่8 พฤษภาคม 2526 เวลากลางวัน จำเลยใช้เหง้ามันสำปะหลังตีทำร้ายโจทก์จนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัส ต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาและประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน จำเลยถูกฟ้องและศาลพิพากษาลงโทษ ปรากฏตามสำนวนคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1494/2526 คดีหมายเลขแดงที่ 1310/2526 ของศาลชั้นต้นคดีถึงที่สุด จำเลยฎีกาว่า โจทก์เป็นผู้ก่อเหตุใช้ให้นายตบไถที่ดินรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลย จำเลยได้ตักเตือน โจทก์กลับท้าทายและใช้เหง้ามันสำปะหลังตีจำเลยถูกศีรษะแตกเลือดไหล จำเลยจึงได้ใช้เหง้ามันสำปะหลังตีโจทก์บ้าง โจทก์จำเลยสมัครใจวิวาทกันโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายนั้น ปัญหาวินิจฉัยจึงมีว่า โจทก์จำเลยสมัครใจวิวาททำร้ายร่างกายกันหรือไม่ ปรากฏตามสำนวนคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1494/2526 คดีหมายเลขแดงที่ 1310/2526 ระหว่าง พนักงานอัยการจังหวัดชลบุรี โจทก์นายบุญส่งหรือบี้ แซ่พัว จำเลย พนักงานอัยการจังหวัดชลบุรีเป็นโจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้บังอาจใช้ต้นมันสำปะหลังเป็นอาวุธตีนางฉลอม แซ่เตียว ผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายรับอันตรายสาหัส ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 297จำเลยให้การรับสารภาพและได้ยื่นคำแถลงประกอบคำรับสารภาพว่าวันเกิดเหตุจำเลยพบผู้เสียหายกำลังไถดินรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของจำเลย จำเลยได้ว่ากล่าวตักเตือนและขอให้กลบที่ดินให้ดีเหมือนเดิม ผู้เสียหายไม่ยอมและพูดท้าทายว่า ไม่ทำแล้วอะไรจะเกิดขึ้น จำเลยจึงเกิดโทสะจึงหยิบต้นมันสำปะหลังตีผู้เสียหาย2-3 ที เป็นการสั่งสอน คำเบิกความของจำเลยและนางสวัสดิ์ ดำชื่นนายประคอง ดำชื่น นางอมรา แดงเต๊ะ นายเหลียงใช้ แซ่พัวพยานจำเลยที่ว่าวันเกิดเหตุโจทก์จำเลยเกิดโต้เถียงแนวเขตที่ดินกันโจทก์ใช้เหง้ามันสำปะหลังตีจำเลยก่อน จำเลยจึงใช้เหง้ามันสำปะหลังตีโจทก์บ้าง โจทก์จำเลยสมัครใจวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันขัดกับคำแถลงประกอบคำรับสารภาพของจำเลยในคดีอาญาดังกล่าวพยานจำเลยไม่มีน้ำหนักพอที่จะเชื่อถือได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าวันเกิดเหตุโจทก์จำเลยเกิดโต้เถียงแนวเขตที่ดินกัน จำเลยอ้างว่าโจทก์ให้คนไถดินรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของจำเลย จำเลยให้ไถกลบที่ดินให้เหมือนเดิม โจทก์ไม่ยอมและพูดว่าไม่ไถกลบแล้วอะไรจะเกิดขึ้น จำเลยจึงเกิดโทสะจึงใช้เหง้ามันสำปะหลังตีทำร้ายโจทก์ พยานจำเลยฟังไม่ได้ว่าโจทก์สมัครใจวิวาททำร้ายร่างกายกับจำเลย โจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหาย” และศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้รับความเสียหายคำนวณเป็นเงิน 10,920 บาท
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน10,920 บาทพร้อมดอกเบี้ย

Share