คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2510/2562

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยอาศัยสิทธิการเป็นเจ้าหนี้ของ ส. ตามสัญญากู้ยืมเงิน เมื่อ ส. ถึงแก่ความตาย สิทธิหน้าที่และความรับผิดตามสัญญากู้ยืมเงินย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาททุกคนของ ส. โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องตามสัญญากู้ยืมเงินบังคับเอาแก่ทรัพย์มรดกของ ส. ที่ตกทอดแก่ทายาท แต่คดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ม. ที่ศาลจังหวัดชลบุรี เป็นเรื่องที่โจทก์อ้างว่า โจทก์เป็นผู้รับมรดกที่ดินตามพินัยกรรมซึ่ง ส. ทำไว้ก่อนตาย จึงฟ้องติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์ที่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของตนจากทายาทของ ส. ซึ่งไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ หาใช่คดีที่โจทก์ฟ้องทายาทของ ส. ให้รับผิดชำระเงินตามสัญญากู้ยืมเงินที่ ส. ทำไว้ต่อโจทก์ไม่ การฟ้องคดีของโจทก์ในคดีที่ศาลจังหวัดชลบุรี จึงถือไม่ได้ว่าเป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลเพื่อจะบังคับเอาแก่ทรัพย์มรดกของ ส. ลูกหนี้การบรรยายฟ้องของโจทก์จึงขาดองค์ประกอบความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ในส่วนของข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลเพราะโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ประสงค์จะบังคับเอาทรัพย์สินของ ส. ลูกหนี้ซึ่งตกทอดแก่ทายาท เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)
ปัญหาว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่ขาดสาระสำคัญอันเป็นองค์ประกอบความผิดหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสิบเก้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 90, 350
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้อง โดยไต่สวนพยานโจทก์ 2 ปากแล้วเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ จึงมีคำสั่งให้งดไต่สวนพยานที่เหลือ และเห็นว่าคดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งและคำพิพากษา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่ขาดสาระสำคัญอันเป็นองค์ประกอบความผิด ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 หรือไม่ เห็นว่า เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องและยืนยันตามฎีกาว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้โดยอาศัยสิทธิการเป็นเจ้าหนี้ของนายสาลี่ตามสัญญากู้ยืมเงิน มิได้ฟ้องว่าจำเลยทั้งสิบเก้าเป็นลูกหนี้ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัย จำเลยทั้งสิบเก้าเป็นเพียงผู้ที่กระทำให้โจทก์มิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินของนายสาลี่ซึ่งมีที่ดินอยู่เพียงแปลงเดียว ฉะนั้น การใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลของโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ซึ่งเป็นมูลฐานให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 ได้นั้น จึงต้องเป็นสิทธิเรียกร้องอันโจทก์มีอยู่แก่นายสาลี่ตามสัญญากู้ยืมเงินนั้นเอง ซึ่งโจทก์ยืนยันมาโดยตลอดว่ายังไม่ระงับไปด้วยเหตุที่โจทก์ยังมิได้รับชำระหนี้ แต่เมื่อนายสาลี่ถึงแก่ความตายสิทธิหน้าที่และความรับผิดตามสัญญากู้ยืมเงินย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาททุกคนของนายสาลี่ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องตามสัญญากู้ยืมเงินฉบับนี้ที่จะบังคับเอาแก่ทรัพย์มรดกของนายสาลี่ที่ตกทอดแก่ทายาท แต่คดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายมัธยมที่ศาลจังหวัดชลบุรีตามคดีหมายเลขแดงที่ 3173/2557 ซึ่งโจทก์อาศัยเป็นหลักในคดีนี้ฟ้องกล่าวหาจำเลยทั้งสิบเก้าว่าร่วมกันกระทำความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ โดยกล่าวอ้างว่าโจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 แล้วนั้น เห็นได้ว่าคดีของศาลจังหวัดชลบุรีข้างต้นเป็นเรื่องที่โจทก์อ้างว่าโจทก์เป็นผู้รับมรดกที่ดินตามพินัยกรรมซึ่งนายสาลี่ทำไว้ก่อนตาย จึงฟ้องติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์ที่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของตนจากทายาทของนายสาลี่ซึ่งไม่มีสิทธิยึดถือไว้ หาใช่คดีที่โจทก์ฟ้องทายาทของนายสาลี่ให้รับผิดชำระเงินตามสัญญากู้ยืมเงินที่นายสาลี่ทำไว้ต่อโจทก์ไม่ การฟ้องคดีของโจทก์ในคดีหมายเลขแดงที่ 3173/2557 ของศาลจังหวัดชลบุรี จึงถือไม่ได้ว่าเป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลเพื่อจะบังคับเอาแก่ทรัพย์มรดกของนายสาลี่ลูกหนี้ การบรรยายฟ้องของโจทก์จึงขาดสาระสำคัญอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ในส่วนของข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลเพราะโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ประสงค์จะบังคับเอาทรัพย์สินของนายสาลี่ลูกหนี้ซึ่งตกทอดเป็นมรดกแก่ทายาท เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในผลคำพิพากษาที่ยกฟ้องโจทก์จากเหตุฟ้องไม่ครบองค์ประกอบความผิดดังกล่าว และปัญหาว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่ขาดสาระสำคัญอันเป็นองค์ประกอบความผิดหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share