คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2507/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ได้จัดการซื้อหุ้นตามฟ้องตามคำสั่งซื้อของจำเลยและโจทก์ออกเงินค่าหุ้นแทนจำเลยไป แม้จะไม่มีสัญญาซื้อขายหุ้นฉบับตลาดหลักทรัพย์มาเป็นพยาน จำเลยก็มีหน้าที่ตามคำขอเปิดบัญชีเดินสะพัดซื้อขายหลักทรัพย์ที่จะต้องชำระเงินคืนให้โจทก์ตามฟ้อง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมีวัตถุประสงค์ในการซื้อขายหลักทรัพย์ และเป็นตัวแทนนายหน้าในการซื้อขายหลักทรัพย์โดยได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังเมื่อประมาณวันที่ 27 มีนาคม 2521 จำเลยตกลงทำสัญญาบัญชีเดินสะพัดเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์กับโจทก์ โดยให้โจทก์มีตัวแทนนายหน้าของจำเลยในการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในวงเงิน 100,000 บาท โดยจำเลยจะนำเงนสดหรือหลักทรัพย์มาวางในอัตราร้อยละ 30 ของวงเงินที่เปิดบัญชีไว้ เมื่อจำเลยสั่งซื้อหุ้นโจทก์จะออกเงินทดรองไปก่อน และจำเลยยอมให้โจทก์ยึดหุ้นที่จำเลยสั่งซื้อไว้เป็นหลักประกันการชำระหนี้ ซึ่งจะมีการชำระบัญชีกันต่อเมื่อจำเลยสั่งขายหลักทรัพย์ แล้วนำเงินสุทธิไปหักกลบลบหนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัด หากจำเลยมีหนี้ค้างเท่าใดจำเลยจะชดใช้ให้โจทก์การซื้อขายหุ้นแต่ละครั้ง จำเลยต้องเสียค่านายหน้าร้อยละ 0.5 ของจำนวนเงินที่ซื้อหรือขายแต่ละคราวตามข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และจำเลยยินยอมเสียดอกเบี้ยในยอดหนี้ตามบัญชีเดินสะพัดในอัตราร้อยละ 13.5 ต่อปี ให้โจทก์ด้วยและยินยอมให้เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นได้ตามที่โจทก์เห็นสมควรตามภาวะของตลาดที่เปลี่ยนแปลงเป็นคราว ๆ ไป แต่ต้องไม่ขัดกับกฎหมาย จำเลยได้นำเงินมาวางประกันไว้กับโจทก์ 500,000 บาท แล้วสั่งให้โจทก์ซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหลายครั้งหลายคราว ซึ่งโจทก์ได้ออกเงินทดรองแทนจำเลยไปแล้วเป็นเงินทั้งสิ้น 1,146,700 บาท จำเลยต้องชำระค่านายหน้าให้โจทก์ในอัตราร้อยละ 0.5 เป็นเงิน 5,733.50บาท จึงเป็นเงินที่จำเลยต้องชดใช้ให้โจทก์ รวม 2,152,433.50 บาทโจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระจำเลยเพิกเฉย โจทก์ได้นำหุ้นที่จำเลยสั่งซื้อและหรือมอบให้โจทก์ไว้เป็นประกันหนี้ดังกล่าวแล้วออกขายทอดตลาดได้เงินทั้งสิ้น 364,173.20 บาท เมื่อรวมกับเงินปันผลจากหุ้นที่จำเลยสั่งซื้อไว้ และเงินที่จำเลยวางประกันอีก 500,000 บาทเป็นเงินของจำเลยที่จะนำมาหักกลบลบหนี้รวมทั้งสิ้น 87,249.01 บาทเนื่องจากจำเลยจะต้องชำระดอกเบี้ยในต้นเงินที่ค้างชำระคิดถึงวันที่24 กรกฎาคม 2523 เป็นเงิน 116,866.83 บาท ให้โจทก์ด้วย จำเลยจึงเป็นหนี้โจทก์รวมเป็นเงิน 1,269,300.33 บาท และเมื่อหักกลบลบหนี้กันแล้ว จำเลยคงมีหน้าที่ต้องชำระหนี้ให้โจทก์ ณ วันที่ 24 กรกฎาคม2523 เพิ่มอีก 382,051.32 บาท โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยไม่ชำระ จึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงินจำนวนนั้นนับแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2523 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 163,877.12บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยจะต้องชำระให้โจทก์ทั้งสิ้น 545,928.44 บาทขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวนนั้นพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ15 ต่อปีของต้นเงิน 382,051.32 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเงินให้โจทก์เสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 การกระทำตามฟ้องเป็นโมฆะ เพราะขัดต่อประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องกำหนดเงื่อนไขในการอนุญาตให้ประกอบกิจการที่ต้องขออนุญาตตามข้อ 5(8)แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 ข้อ 6 ข้อ 9 ทวิ ข้อ 11 และขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การกระทำตามฟ้องเป็นพนันขันต่อ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 853 ไม่ก่อให้เกิดหนี้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 545,928.44 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 382,051.32 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จให้โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์จะต้องมีหลักฐานการซื้อขายตามแบบพิมพ์ของตลาดหลักทรัพย์เก็บไว้ที่ตลาดหลักทรัพย์จำนวน 1 ฉบับ แต่โจทก์มิได้นำสืบอ้างมาแสดงหุ้นที่โจทก์อ้างว่าซื้อแทนจำเลยโจทก์ก็ขายไปก่อนแล้ว มิใช่ขายทอดตลาด ดังที่โจทก์กล่าวอ้าง ซึ่งตามข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์โจทก์กระทำเช่นนั้นไม่ได้ กรณีจึงไม่เชื่อว่าโจทก์ได้ซื้อขายหุ้นแทนจำเลยดังฟ้อง พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์จำเลยแล้วเห็นว่านอกจากโจทก์จะมีใบสั่งซื้อหลักทรัพย์ซึ่งจำเลยลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งซื้อตามเอกสารที่โจทก์นำสืบ ซึ่งโจทก์จัดการซื้อให้ตามสัญญาซื้อขายฉบับผู้ซื้อที่กล่าวข้างต้นเป็นพยานแล้ว จำเลยยังเบิกความรับรองว่า จำเลยเป็นผู้สั่งให้โจทก์ซื้อหุ้นให้ แต่หุ้นที่จำเลยสั่งซื้อไว้โจทก์ขายไปหมดแล้ว ดังนี้ แม้จะไม่มีสัญญาซื้อขายหุ้นฉบับของตลาดหลักทรัพย์มาเป็นพยานดังที่ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงก็ฟังได้ตามฟ้องโจทก์ว่าหุ้นตามฟ้องเป็นหุ้นที่โจทก์ซื้อไว้ตามคำสั่งของจำเลย และโจทก์ออกเงินค่าหุ้นแทนจำเลยไป จำเลยจึงมีหน้าที่ตามคำขอเปิดบัญชีเดินสะพัดเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ที่จะต้องชำระเงินคืนให้โจทก์ตามที่โจทก์ฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์มา ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share