แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในกรณีที่ฟ้องอ้างว่าจำเลยกระทำความผิดซึ่งเป็นการละเมิด ก.ม. หลายบทด้วยกันนั้น หากพิจารณาได้ข้อเท็จจริงตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์แล้ว ศาลก็ต้องใช้อาญาที่เป็นบทนักลงโทษจำเลยตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 70 ฉะนั้นเมื่อความผิดตามบท ก.ม. ที่หนักนั้นเกินอำนาจศาลแขวงแม้ความผิดบทเบา จะอยู่ในอำนาจศาลแขวง ศาลแขวงก็ต้องพิพากษายกฟ้องเสีย เพราะต้องถือว่าเป็นคดีเกินอำนาจศาลแขวง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกสมคบกันอุบายหลอกลวงเกลี้ยกล่อมพา ด.ญ คิ้ม แซ่เฮงอายุ ๑๒ ปีไปเพื่ออนาจารและเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่น ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๒๗๕, ๖๓ และ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๒๔๗๔ มาตรา ๓, ๖
จำเลยปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องมาเป็นความผิดตามมาตรา ๒๔๑ วรรคสุดท้ายเกินอำนาจศาลแขวง จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษตามมาตรา ๒๗๕
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา ๒๗๕ ไม่เกินอำนาจศาลแขวง จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาเห็นว่าคำบรรยายฟ้องของโจทก์เป็นความผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๒๔๑ วรรคท้ายและมาตรา ๒๗๕ ตามที่ได้แก้ไขโดย พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ก.ม.ลักษณะอาญา พ.ศ. ๒๔๗๔ มาตรา ๓-๖ ตามที่โจทก์ขอมาท้ายฟ้องโดยครบถ้วน จึงเป็นกรณีที่อ้างว่าจำเลยกระทำความผิดซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายหลายบทด้วยกัน ตามมาตรา ๗๐ บัญญัติให้ใช้บทกฎหมายที่อาญาหนักลงโทษ ฉะนั้นหากพิจารณาได้ข้อเท็จจริงตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์แล้ว ศาลก็ต้องใช้มาตรา ๒๔๑ วรรคสุดท้ายมาเป็นบทลงโทษจำเลย คดีจึงเกินอำนาจศาลแขวง
จึงพิพากาากลับให้ยกฟ้อง