แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นรับฟ้องของโจทก์ไว้แล้วเห็นว่าเป็นฟ้องซ้ำจึงเพิกถอนคำสั่งเดิมที่ให้รับฟ้องเป็นไม่รับฟ้องและให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ เมื่อโจทก์อุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำฟ้องของโจทก์ต้องห้ามตามกฎหมายแต่ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดียังไม่เป็นการถูกต้องศาลอุทธรณ์ก็พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์ได้
ในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีก่อน โจทก์จำเลยได้ตกลงกันถึงเขตที่ดินราชพัสดุที่โจทก์จำเลยเช่าและเรื่องหลังคาเรือนจำเลยว่าไม่รุกล้ำเข้าไปในส่วนที่โจทก์เช่าคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 โจทก์จะกล่าวอ้างในคดีนี้อีกว่าจำเลยทำหลังคารุกล้ำเข้าไปในที่ดินราชพัสดุที่โจทก์เช่า ซึ่งเป็นการกระทำก่อนมีการฟ้องคดีก่อนย่อมเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามมาตรา 148
เมื่อโจทก์ยื่นคำฟ้องแล้ว ไม่ว่าศาลจะสั่งคำฟ้องประการใดจำเลยย่อมเป็นคู่ความ และในกรณีที่โจทก์อุทธรณ์คำสั่งแม้จำเลยจะไม่อุทธรณ์ จำเลยก็มีสิทธิแก้อุทธรณ์ได้มิใช่เป็นเรื่องระหว่างศาลกับโจทก์เท่านั้น ศาลอุทธรณ์มีอำนาจสั่งให้โจทก์ใช้ค่าทนายความแทนจำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยปลูกเรือนสองชั้นโดยทำหลังคารุกล้ำเข้าไปในที่ดินราชพัสดุซึ่งโจทก์มีสิทธิการเช่า ขอให้พิพากษาให้จำเลยรื้อหลังคาของจำเลยให้พ้นสิทธิการเช่าของโจทก์
จำเลยให้การว่า ชายคาของเรือนจำเลยไม่ได้รุกล้ำเข้าไปในเขตที่เช่าของโจทก์ จำเลยเคยฟ้องขับไล่โจทก์ คดีถึงที่สุดโดยโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่าให้ถือเอาชายคาน้ำตกของเรือนจำเลยเป็นแนวเขต ขอให้ยกฟ้อง
ในวันชี้สองสถานศาลชั้นต้นเห็นว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ จึงให้งดชี้สองสถานเพิกถอนคำสั่งเดิมที่ให้รับฟ้องเป็นไม่รับฟ้อง ให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเป็นฟ้องซ้ำ แต่ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดียังไม่เป็นการถูกต้อง พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าฟ้องของโจทก์ยังไม่อยู่ในฐานะที่ศาลอุทธรณ์จะรับพิจารณาหรือพิพากษายกฟ้อง ควรย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องหรือสั่งไม่รับฟ้องเสียก่อน แต่ศาลอุทธรณ์กลับพิพากษายกฟ้องโจทก์ฝ่ายเดียวไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่าเมื่อโจทก์อุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นมาและศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำฟ้องของโจทก์ต้องห้ามตามกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษายกฟ้องเสียได้
ที่โจทก์ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่าฟ้องของโจทก์ไม่ต้องห้ามตามกฎหมายนั้น เห็นว่า ในคดีก่อนจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหายโดยอ้างว่าโจทก์ผิดสัญญา ปรากฏว่าในคำฟ้องคำให้การและฟ้องแย้งในคดีก่อนก็มีปัญหาโต้เถียงกันเรื่องเขตที่ราชพัสดุที่โจทก์มีสิทธิเช่าอยู่ด้วย และโจทก์ (จำเลยในคดีก่อน) ก็กล่าวไว้ในคำให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลย (โจทก์ในคดีก่อน) ได้เปลี่ยนแปลงต่อเติมเรือนชั้นเดียว (เลขที่ 651) เป็นเรือนสองชั้นซึ่งปรากฏอยู่ในขณะยื่นคำให้การและฟ้องแย้งเท่านั้น มิได้กล่าวอ้างว่าจำเลยทำหลังคารุกล้ำเข้าไปในที่ราชพัสดุส่วนที่โจทก์เช่า ในวันทำสัญญาประนีประนอมยอมความโจทก์จำเลยได้เจรจาตกลงกันถึงเขตที่ดินราชพัสดุที่โจทก์จำเลยเช่าและเรื่องหลังคาเรือนจำเลยได้ยุติแล้วว่าไม่รุกล้ำเข้าไปในส่วนที่โจทก์เช่า คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความย่อมผูกพันโจทก์จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 มาบัดนี้โจทก์จะกล่าวอ้างขึ้นอีกว่า เมื่อกลางเดือนสิงหาคม 2523 จำเลยได้รื้อเรือนเลขที่ 651 ทำเป็นเรือนสองชั้นโดยทำหลังคารุกล้ำเข้าไปในที่ดินราชพัสดุที่โจทก์เช่า ซึ่งเป็นการกระทำก่อนจำเลยคดีนี้ยื่นฟ้องเป็นคดีก่อน (วันที่ 19 กันยายน 2523) เช่นนี้ ย่อมเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
ที่โจทก์ฎีกาเป็นข้อสุดท้ายว่า ศาลชั้นต้นยังมิได้รับฟ้องของโจทก์และจำเลยก็มิได้อุทธรณ์ โจทก์อุทธรณ์ฝ่ายเดียว เป็นเรื่องระหว่างศาลกับโจทก์ ไม่ควรให้โจทก์ใช้ค่าทนายความแทนจำเลยนั้น เห็นว่าเมื่อโจทก์ยื่นฟ้องแล้ว ไม่ว่าศาลจะสั่งคำฟ้องประการใดจำเลยย่อมเป็นคู่ความ ในกรณีที่โจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลแม้จำเลยจะไม่อุทธรณ์ด้วย จำเลยก็มีสิทธิแก้อุทธรณ์ได้ มิใช่เป็นเรื่องระหว่างศาลกับโจทก์เท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความแทนจำเลยจึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน