แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
เหตุที่จำเลยทำบันทึกข้อตกลงเรื่องแบ่งกรรมสิทธิ์รวมโดยกำหนดส่วนของที่ดินด้วย และทำบันทึกให้จดทะเบียนบรรยายส่วนกรรมสิทธิ์ในโฉนดเกิดจากการกระทำของโจทก์และ ว. โดยจำเลยสำคัญผิดในข้อสารสำคัญแห่งนิติกรรมว่าแบ่งตามที่ครอบครองเป็นส่วนสัด จึงตกเป็นโมฆะไม่อาจแบ่งที่ดินให้โจทก์ตามที่ได้จดทะเบียนบรรยายส่วนกรรมสิทธิ์ที่ดินไว้ เมื่อโจทก์จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของรวมต่างครอบครองที่พิพาทอย่างเป็นเจ้าของเป็นส่วนสัด จึงต้องแบ่งที่พิพาทตามส่วนดังกล่าว
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์จำเลยต่างแบ่งการครอบครองนาพิพาทเป็นส่วนสัด จำเลยจดทะเบียนบรรยายส่วนด้วยความสำคัญผิดในสารสำคัญแห่งนิติกรรม จึงตกเป็นโมฆะ พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมที่ดินตามโฉนดที่ 1917 เอกสารหมาย จ.1 โจทก์จำเลยต่างครอบครองที่ดินเป็นส่วนสัด มีแนวเขตแบ่งการครอบครองมาเกินกว่าสิบปี โจทก์ครอบครองที่ดินส่วนทางทิศใต้ภายในเส้นสีแดงจำเลยครอบครองที่ดินส่วนทางทิศเหนือภายในเส้นสีเขียวตามแผนที่พิพาทคดีมีปัญหาว่า โจทก์จะขอแบ่งที่พิพาทตามส่วนที่โจทก์จำเลยจดทะเบียนบรรยายส่วนกรรมสิทธิ์ได้หรือไม่ เห็นว่า เหตุที่มีการบรรยายส่วนที่ดินนั้นได้ความจากโจทก์ว่า เนื่องจากโจทก์จำเลยต้องการให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดแบ่งแยกที่ดินตามความเป็นจริงที่มีอยู่ ตามบันทึกข้อตกลงเรื่องแบ่งกรรมสิทธิ์รวม เอกสารหมาย จ.3 มีข้อความว่า “ข้าฯ (หมายถึงโจทก์จำเลย) จะได้นำชี้แนวเขตในวันทำการรังวัด” จึงเป็นการชี้ให้เห็นว่าโจทก์จำเลยมีความประสงค์ให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดที่ดินแบ่งแยกโฉนดตามแนวเขตที่โจทก์จำเลยต่างครอบครองกันมาเป็นสำคัญ ตามสารบัญจดทะเบียนหลังโฉนดคำนวณได้ว่า โจทก์มีกรรมสิทธิ์ที่ดิน 3 ใน 4 ส่วน จำเลยมีกรรมสิทธิ์ที่ดิน 1 ใน 4 ส่วน แต่ตามเอกสารหมาย จ.3 ระบุว่า จำเลยมีกรรมสิทธิ์ที่ดิน 1 ส่วน โจทก์มีกรรมสิทธิ์ที่ดิน 2 ส่วน ซึ่งไม่ตรงกันอาจเนื่องจากจำเลยซื้อที่ดินส่วนของนางจำรัสเพียงคนเดียว ส่วนโจทก์ซื้อที่ดินส่วนของนางแผ้วกับนางบุญเรือน เชื่อว่าการระบุส่วนของที่ดินตามเอกสารหมาย จ.3 เกิดขึ้นจากความสำคัญผิด เรื่องจำนวนส่วนของที่ดินที่โจทก์จำเลยต่างครอบครองนั้นจำเลยนำสืบว่า เมื่อนางแผ้วได้รับมรดกที่ดินจากนายฮอดแล้ว นางแผ้วแบ่งที่ดินนั้นให้นางจำรัสและนางบุญเรือนคนละครึ่ง นางจำรัสและนางบุญเรือนต่างครอบครองที่ดินคนละครึ่งของที่ดินทั้งหมด โดยนางจำรัสครอบครองที่ดินส่วนทางทิศเหนือนางบุญเรือนครอบครองที่ดินส่วนทางทิศใต้ มีคันนาเป็นแนวเขต ซึ่งเป็นการแบ่งการครอบครองเป็นส่วนสัด เมื่อโจทก์ซื้อที่ดินแล้วโจทก์ก็ครอบครองที่ดินส่วนทางทิศใต้โดยถือคันนานั้นเป็นแนวเขตและปลูกต้นไม้บนคันนาที่เป็นแนวเขตนั้นด้วย เมื่อโจทก์นำชี้เขตที่ดินที่โจทก์ครอบครองให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดตามแผนที่พิพาทก็ปรากฏว่า โจทก์ครอบครองที่ดินเป็นส่วนสัดทางทิศใต้มีแนวเขตแน่นอนมีเนื้อที่ 10 ไร่ 1 งาน 67 ตารางวาซึ่งเป็นจำนวนใกล้เคียงกับจำนวนครึ่งหนึ่งของที่ดินทั้งหมด จึงเป็นเจือสมกับข้อนำสืบของจำเลย เหตุที่จำเลยพิมพ์ลายนิ้วมือในบันทึกข้อตกลงแบ่งกรรมสิทธิ์รวมและในบันทึกถ้อยคำให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนบรรยายส่วนตามเอกสารหมาย จ.3 และ จ.2 นั้น จำเลยนำสืบว่า โจทก์มาหาจำเลยที่บ้านขอให้จำเลยไปที่สำนักงานที่ดินเพื่อแบ่งแยกโฉนดที่ดินกันคนละครึ่ง เมื่อจำเลยไปถึงสำนักงานที่ดิน นางวนิดาบุตรโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินให้จำเลยพิมพ์ลายนิ้วมือในเอกสาร จำเลยเป็นหญิงชราอายุ 65 ปี อ่านหนังสือไม่ออก เห็นนางวนิดาเป็นคนเขียนข้อความในเอกสารนั้น จำเลยเชื่อว่าข้อความนั้นถูกต้องตามความจริง จึงพิมพ์ลายนิ้วมือให้ไป ข้อนำสืบของจำเลยมีเหตุผลสนับสนุนน่าเชื่อ นอกจากนี้เมื่อโจทก์จำเลยทำบันทึกข้อตกลงแบ่งกรรมสิทธิ์รวมโดยจะได้นำชี้แนวเขตให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดต่อไปตามเอกสารหมาย จ.3 เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2516 แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นอย่างไรที่โจทก์จำเลยจะต้องทำบันทึกถ้อยคำจดทะเบียนบรรยายส่วนกรรมสิทธิ์ที่ดินในเวลา 2 วันต่อมา ทั้งการจดทะเบียนบรรยายส่วนนั้นก็ไม่ตรงตามส่วนของที่ดินที่โจทก์จำเลยต่างครอบครองมา เหตุที่จำเลยทำบันทึกข้อตกลงเรื่องแบ่งกรรมสิทธิ์รวมโดยกำหนดส่วนของที่ดินด้วย และทำบันทึกให้จดทะเบียนบรรยายส่วนกรรมสิทธิ์ในโฉนด เชื่อว่าเกิดจากการกระทำของโจทก์และนางวนิดา โดยจำเลยสำคัญผิดในข้อสารสำคัญแห่งนิติกรรมจึงตกเป็นโมฆะ ไม่อาจแบ่งที่ดินให้โจทก์ตามที่ได้จดทะเบียนบรรยายส่วนกรรมสิทธิ์ที่ดินไว้ เมื่อโจทก์จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของรวมต่างครอบครองที่พิพาทอย่างเป็นเจ้าของเป็นส่วนสัด มีแนวเขตแบ่งการครอบครองแน่นอนมาเป็นเวลาเกินกว่าสิบปี โจทก์จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินตามส่วนที่โจทก์จำเลยต่างครอบครองมา จึงต้องแบ่งที่พิพาทตามส่วนดังกล่าว
พิพากษากลับ ให้จำเลยจัดการแบ่งแยกที่ดินตามโฉนดที่ 1917 ตำบลบ้านแพรก อำเภอบ้านแพรก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินเนื้อที่ภายในเส้นสีแดงตามแผนที่พิพาท หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ”