แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
สิทธิตามสัญญาเช่าซื้อเป็นทรัพย์สิน เมื่อได้มาระหว่างสมรส สามีภริยาเป็นเจ้าของรวม ภริยาฟ้องคดีเกี่ยวกับสินบริคณห์ได้โดยรับอนุญาตจากสามี ตาม มาตรา 1469 เดิมที่ใช้ในขณะภริยาฟ้องคดีละเมิดและประกันภัยรถที่สามีเช่าซื้อ
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 นายจ้างของผู้ทำละเมิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 9,600 บาทกับดอกเบี้ย ให้จำเลยร่วมผู้รับประกันภัยรับผิดด้วย 8,000บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมใช้ค่าเสื่อมราคารถอีก 5,000 บาท จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมฎีกาว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของผู้ครอบครองรถ
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงตามที่ศาลล่างทั้งสองฟังมาว่าโจทก์กับนายอาจหาญ ภวังนันท์ เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ต่อมานายอาจหาญเช่าซื้อรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก.ท.ษ. – 7873 จากบริษัทสยามเมเครดิต จำกัด และให้โจทก์ใช้รถยนต์คันดังกล่าว ขณะเกิดเหตุอยู่ในระหว่างชำระค่าเช่าซื้อยังไม่หมด เมื่อฟ้องคดีแล้วได้ชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนโอนกรรมสิทธิ์ตกมาเป็นของนายอาจหาญ และนายอาจหาญ ยินยอมให้โจทก์ฟ้องคดีนี้ คดีมีปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า สิทธิตามสัญญาเช่าซื้อเป็นทรัพย์สิน นายอาจหาญทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก.ท.ษ. – 7873 จากบริษัทสยามเครดิต จำกัด ขณะเป็นสามีภริยากับโจทก์ สิทธิตามสัญญานั้นย่อมเป็นทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรส โจทก์จึงมีส่วนเป็นเจ้าของรวม มีสิทธิใช้รถยนต์ที่เช่าซื้อนั้นและมีหน้าที่ต้องดูแลรักษารถยนต์ให้อยู่ในสภาพดีเช่นเดียวกับนายอาจหาญและโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีเกี่ยวกับการสงวนบำรุงรักษา หรือการใด ๆ เพื่อประโยชน์แก่สินบริคณห์เมื่อได้รับอนุญาตจากสามี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1469ที่ใช้ขณะโจทก์ฟ้องคดี เมื่อฝ่ายจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ ทำให้รถยนต์หมายเลขทะเบียน ก.ท.ษ. – 7873 เสียหายและนายอาจหาญอนุญาตให้โจทก์ฟ้องคดีนี้แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมด้วยได้”
พิพากษายืน