คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2502/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บรรยายฟ้องว่า จำเลยแจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่าเห็น ร. ร่วมกับ ส.ลักทรัพย์ซึ่งความจริงแล้วจำเลยได้เห็นส.คนเดียวลักทรัพย์ มิได้เห็น ร. ร่วมลักทรัพย์ด้วย ดังนี้ เป็นการบรรยายข้อความที่เป็นเท็จและที่เป็นจริงไว้ชัดแล้วว่า ความจริงจำเลยมิได้เห็น ร. ร่วมกับ ส. ลักทรัพย์ แต่ได้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จว่าได้เห็น ร.ร่วมกับส. ลักทรัพย์ เป็นฟ้องที่สมบูรณ์แล้ว ไม่ใช่ว่าความจริงหรือเท็จจะอยู่ตรงที่ว่า ร. ได้ร่วมกับ ส. ลักทรัพย์หรือไม่เท่านั้น
บรรยายฟ้องว่า “จำเลยบังอาจแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ ฯลฯ”ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวแล้วว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดกล่าวคือ เมื่อจำเลยแจ้งข้อความตามฟ้องนั้น จำเลยรู้อยู่แล้วว่า ข้อความที่จำเลยแจ้งเป็นความเท็จ แม้โจทก์มิได้บรรยายฟ้องอีกว่า จำเลยรู้อยู่แล้วว่าข้อความนั้นข้อความนั้นเป็นเท็จ ก็เป็นฟ้องที่สมบูรณ์แล้ว
การที่จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวนนั้นเป็นความผิดตามมาตรา 172 และ 174ซึ่งบัญญัติเป็นความผิดไว้โดยเฉพาะแล้ว ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรา 137 ซึ่งเป็นบทบัญญัติว่าด้วยการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานทั่วๆ ไปอีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่ร้อยตำรวจโทพิธ พนักงานสอบสวนซึ่งเป็นเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่สอบสวนคดีอาญา โดยจำเลยให้การในฐานะพยานว่าเห็นนายหร่ำร่วมกับนายสมพรลักเรือยนต์พร้อมด้วยเครื่องยนต์ของนายพรหมไป ซึ่งความจริงจำเลยเห็นแต่นายสมพรลักทรัพย์ หาได้เห็นนายหร่ำร่วมลักทรัพย์กับนายสมพรไม่ การกระทำของจำเลยเป็นการเพื่อจะแกล้งให้นายหร่ำต้องรับโทษทางอาญา และอาจทำให้นายหร่ำ นายพรหมและนายย้อยผู้มาแจ้งความแทนนายพรหมเสียหาย นายหร่ำถูกจับกุมตัวสอบสวนดำเนินคดี ถูกฟ้องคดีอาญาถูกควบคุมตัวและถูกขังในระหว่างการสอบสวนและการพิจารณาคดีของศาล ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 172 และ 174

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137, 172, 174 ให้ลงโทษตามมาตรา 174 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 4 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งเพราะรับสารภาพ คงจำคุก 2 เดือน

จำเลยอุทธรณ์ ขอให้รอการลงโทษ

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าที่จำเลยแจ้งว่านายหร่ำร่วมกับนายสมพรลักทรัพย์นั้น ความจริงเป็นอย่างไร ความจริงหรือความเท็จที่ว่านี้คือ นายหร่ำได้ร่วมกับนายสมพรลักทรัพย์นั้นหรือไม่ โจทก์มิได้บรรยายข้อความนี้ ส่วนข้อความที่โจทก์บรรยายว่าความจริงจำเลยนั้นไม่ได้เห็นนายหร่ำร่วมกับนายสมพรลักทรัพย์นั้น ไม่ใช่ความจริงที่กฎหมายต้องการความจริงหรือความเท็จอันแท้จริงอยู่ที่ว่านายหร่ำร่วมกับนายสมพรลักทรัพย์หรือไม่เมื่อพิจารณาคำฟ้องที่ว่าในที่สุดนายหร่ำถูกฟ้องต่อศาลตามข้อความที่จำเลยนำมาแจ้งประกอบ ยิ่งทำให้เห็นว่าข้อความที่จำเลยแจ้งอาจจะเป็นความจริงก็ได้ อนึ่ง โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าข้อความนั้นเป็นความเท็จ ยังบังอาจนำไปแจ้ง เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพก็ลงโทษจำเลยไม่ได้พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยแจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่า เห็นนายหร่ำร่วมกับนายสมพรลักทรัพย์รายนี้ไป ซึ่งความจริงจำเลยได้เห็นนายสมพรคนเดียวลักทรัพย์หาได้เห็นนายหร่ำร่วมลักทรัพย์ด้วยไม่ เช่นนี้ เป็นการบรรยายข้อความที่เป็นเท็จ และที่เป็นจริงไว้ชัดแล้วว่า ความจริงจำเลยมิได้เห็นนายหร่ำร่วมกับนายสมพรลักทรัพย์ แต่ได้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จว่าได้เห็นนายหร่ำร่วมกับนายสมพรลักทรัพย์ นับว่าเป็นคำบรรยายฟ้องที่สมบูรณ์แล้ว ส่วนข้อที่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยรู้อยู่แล้วว่าข้อความนั้นเป็นเท็จแล้วยังบังอาจนำไปแจ้ง เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์นั้นศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้ โจทก์บรรยายฟ้องว่า “จำเลยบังอาจแจ้งข้อความอันเป็นเท็จฯลฯ ซึ่งมีความหมายอยู่ในตัวแล้วว่า จำเลยมีเจตนากระทำความผิดกล่าวคือ เมื่อจำเลยแจ้งข้อความตามฟ้องนั้นจำเลยรู้อยู่แล้วว่าข้อความที่จำเลยแจ้งเป็นความเท็จ โจทก์จึงไม่ต้องบรรยายฟ้องอีกว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าข้อความนั้นเป็นเท็จ ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาฟ้องโจทก์จึงครบองค์ความผิดและสมบูรณ์แล้ว

เนื่องจากจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง และมีข้อเท็จจริงพอที่ศาลฎีกาจะรับวินิจฉัยได้ จึงสมควรพิจารณาพิพากษาไปเสียเลยแล้ววินิจฉัยว่า โทษที่ศาลชั้นต้นกำหนดมาสมควรแก่รูปคดีแล้ว

แต่ที่ศาลชั้นต้นปรับบทความผิดของจำเลยตามมาตรา 137 มาด้วยนั้นศาลฎีกาเห็นว่ายังคลาดเคลื่อนอยู่ เพราะการที่จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวนนั้น เป็นความผิดตามมาตรา 172 และ 174 ซึ่งบัญญัติเป็นความผิดไว้โดยเฉพาะแล้วย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรา 137 ซึ่งเป็นบทบัญญัติว่าด้วยการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานทั่ว ๆ ไปอีก

พิพากษากลับ เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา 172 และ 174ลงโทษตามมาตรา 174 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 4 เดือน รับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 เดือน

Share