คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2499/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สิบตำรวจตรี ย. และสิบตำรวจตรี ส. ไม่ได้แสดงหลักฐานหรือบอกกล่าวแก่จำเลยขณะจะเข้าตรวจค้นว่าตนเป็นเจ้าพนักงานตำรวจกระทำการตามหน้าที่ และมิได้แต่งเครื่องแบบตำรวจ เมื่อจำเลยไม่มีทางรู้ได้ว่าสิบตำรวจตรี ย. และ
สิบตำรวจตรี ส. เป็นเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งจะปฏิบัติตามหน้าที่ พฤติการณ์ที่มีชายแปลกหน้า 2 คน เดินตรงเข้าหาจำเลยขณะจำเลยขับรถจักรยานยนต์เข้าจอดที่หน้าร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ จึงอาจทำให้จำเลยเข้าใจได้ว่าจะเข้ามาทำร้าย และเมื่อจำเลยวิ่งหนี ชายดังกล่าวก็วิ่งไล่หมายจับกุมเช่นนี้ แม้จำเลยต่อสู้ขัดขวางไม่ให้จับกุม จำเลยก็หามีความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ไม่
ข้อเท็จจริงที่โจทก์อ้างมาในฎีกาว่า พยานโจทก์เบิกความไว้ชัดเจนว่า ขณะวิ่งไล่จับกุมจำเลยเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมได้แจ้งให้จำเลยทราบว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจขอตรวจค้นตามคำเบิกความของสิบตำรวจตรี ย. ตอบพนักงานอัยการผู้แทนโจทก์ถามติง แต่ในชั้นพยานเบิกความตอบคำถามซักและคำถามค้าน หาปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่ เมื่อ ป.วิ.พ. มาตรา 118 ซึ่งต้องนำมาใช้กับคดีอาญาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 15 บัญญัติว่า ในการที่คู่ความฝ่ายที่อ้างพยานจะถามติงพยาน ห้ามมิให้คู่ความฝ่ายนั้นใช้คำถามอื่นใดนอกจากคำถามที่เกี่ยวกับคำพยานเบิกความตอบคำถามค้าน ดังนั้นโจทก์จึงไม่อาจยกเอาคำเบิกความของสิบตำรวจตรี ย. ที่ว่าได้แจ้งให้จำเลยทราบว่า พยานเป็นเจ้าพนักงานตำรวจแล้วมาเป็นประโยชน์แก่คดีโจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ เวลากลางวัน จำเลยกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันกล่าวคือ จำเลยมีอาวุธปืนพกลูกซองขนาด ๑๒ จำนวน ๒ กระบอก ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้กับมีเครื่องกระสุนปืนลูกซอง ขนาด ๑๒ จำนวน ๗ นัด ไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับใบอนุญาต และจำเลยพาอาวุธปืน ดังกล่าวติดตัวไปในหมู่บ้าน โดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวและเมื่อสิบตำรวจตรี ยงยุทธ ตั๋นคำ พร้อมกับพวกซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจหน้าที่จับกุมผู้กระทำผิดต่อกฎหมาย พบจำเลย และขอตรวจค้นอันเป็นการปฏิบัติการตามหน้าที่ จำเลยต่อสู้และขัดขวางในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยใช้อาวุธปืนข้างต้นยิงสิบตำรวจตรี ยงยุทธ ๑ นัด โดยเจตนาฆ่า แต่กระสุนปืนไม่ถูกสิบตำรวจตรี ยงยุทธ เนื่องจากหลบทัน เจ้าพนักงานจับจำเลยพร้อม ยึดอาวุธปืนดังกล่าว กระสุนปืน ๖ นัด ปลอกกระสุนปืน ๑ ปลอก เป็นของกลาง กระสุนปืนของกลางหมดไปในการตรวจพิสูจน์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๘, ๑๔๐, ๒๘๙ ประกอบด้วยมาตรา ๘๐, ๓๗๑, ๙๑, ๓๒, ๓๓ พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๘ ทวิ, ๗๒, ๗๒ ทวิ ริบอาวุธปืนและปลอกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๘ วรรคสอง, ๓๗๑ พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๘ ทวิ วรรคหนึ่ง, ๗๒ วรรคสาม, ๗๒ ทวิ วรรคสอง เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ จำคุก ๑ ปี ฐานมีอาวุธปืนมีหมายเลขทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก ๑ ปี ฐานพาอาวุธปืนให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จำคุก ๔ เดือน รวมจำคุก ๒ ปี ๔ เดือน ริบอาวุธปืนและปลอกกระสุนปืนของกลาง ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๖ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการ ตามหน้าที่ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยไม่ฎีกา ความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและฐาน พาอาวุธปืนไปในเมืองฯ จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๖ คงมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ดังฟ้องหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว ตามทาง นำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าสิบตำรวจตรี ยงยุทธ และสิบตำรวจตรี สังคม พยานโจทก์ได้แสดงหลักฐานหรือ บอกกล่าวแก่จำเลยขณะจะเข้าตรวจค้นว่าตนเป็นเจ้าพนักงานตำรวจกระทำการตามหน้าที่ ทั้งที่พยานโจทก์ทั้งสอง กับจำเลยไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เมื่อข้อเท็จจริงก็ฟังได้ตามคำพยานโจทก์ทั้งสองด้วยว่าพยานต่างมิได้แต่งเครื่องแบบตำรวจ จำเลยจึงไม่มีทางรู้ได้ว่าสิบตำรวจตรี ยงยุทธ และสิบตำรวจตรี สังคม เป็นเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งจะปฏิบัติตามหน้าที่ พฤติการณ์ที่มีชายแปลกหน้า ๒ คนเดินตรงเข้าหาจำเลยขณะจำเลยขับรถจักรยานยนต์เข้าจอดที่หน้าร้านซ่อม รถจักรยานยนต์จึงอาจทำให้จำเลยเข้าใจได้ว่าจะเข้ามาทำร้าย และเมื่อจำเลยวิ่งหนี ชายดังกล่าวก็วิ่งไล่หมายจับกุม เช่นนี้ เห็นว่า แม้จำเลยจะได้ต่อสู้ขัดขวางไม่ให้จับกุม จำเลยก็หามีความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการ ปฏิบัติการตามหน้าที่ดังโจทก์ฟ้องไม่ ที่โจทก์อ้างมาในฎีกาว่า พยานโจทก์เบิกความไว้ชัดเจนว่า ขณะวิ่งไล่จับกุมจำเลยเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมได้แจ้งให้จำเลยทราบว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจขอตรวจค้นแล้วนั้นเห็นว่า ข้อเท็จจริงดังกล่าวปรากฏตามคำเบิกความของสิบตำรวจตรี ยงยุทธ ตอบพนักงานอัยการผู้แทนโจทก์ถามติง แต่ในชั้นพยาน เบิกความตอบคำถามซักและคำถามค้านหาปรากฎข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่ เมื่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๑๘ ซึ่งต้องนำมาใช้กับคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ บัญญัติว่า ในการที่คู่ความ ฝ่ายที่อ้างพยานจะถามติงพยาน ห้ามมิให้คู่ความฝ่ายนั้นใช้คำถามอื่นใดนอกจากคำถามที่เกี่ยวกับคำพยานเบิกความตอบคำถามค้าน ดังนั้นโจทก์จึงไม่อาจยกเอาคำเบิกความของสิบตำรวจตรี ยงยุทธ ที่ว่าได้แจ้งให้จำเลยทราบว่า พยานเป็นเจ้าพนักงานตำรวจแล้วมาเป็นประโยชน์แก่คดีโจทก์ได้
พิพากษายืน

Share