แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเบิกความต่อศาลในคดีแพ่งมีสาระสำคัญว่า จำเลยและ ม.เป็นสามีภริยากัน ต่างไม่มีสินเดิม ระหว่างอยู่กินด้วยกันทำมาหาได้ก็ไปซื้อเรือพรพิพัฒน์ 1 แล้วขายไปซื้อเรือพรพิพัฒน์ 2 และหุ้นส่วนกับผู้อื่นซื้อเรือพรพิพัฒน์ 3 ต่อมาเรือพรพิพัฒน์ 2 จมหายไปและขายหุ้นส่วนเรือพรพิพัฒน์ 3 มาซื้อเรือพรพิพัฒน์ 4 โดยใส่ชื่อ ม. กับโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกัน เมื่อปรากฏว่าเรือพรพิพัฒน์ 4 มีชื่อโจทก์เป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย และเป็นทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างจำเลยและ ม. ยังเป็นสามีภริยากันทั้งผลที่สุดในคดีแพ่งดังกล่าวศาลอุทธรณ์พิพากษาถึงที่สุดให้แบ่งเรือพรพิพัฒน์ 4 ให้จำเลยหนึ่งในสี่ คำเบิกความของจำเลยแม้จะเกินเลยไปบ้างก็ไม่เป็นข้อสำคัญในคดี เพราะไม่ทำให้โจทก์ซึ่งมีกรรมสิทธิ์รวมในเรือพรพิพัฒน์ 4 ได้รับความเสียหาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเบิกความเท็จ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คำเบิกความของจำเลยไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี คดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อกฎหมายว่า คำเบิกความของจำเลยไม่เป็นข้อสำคัญในคดี โจทก์จึงฎีกาว่าคำเบิกความของจำเลยเป็นข้อสำคัญในคดี ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมาย และในการวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ศาลชั้นต้นฟังไว้ว่า ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 444/2523 ของศาลชั้นต้น จำเลยนี้เป็นโจทก์ฟ้องนายมนูญ เพชรประเสริฐ ขอหย่าและขอแบ่งเรือพรพิพัฒน์ 4 ซึ่งเป็นสินสมรสเพียงรายการเดียว โดยอ้างว่านายมนูญไปได้โจทก์นี้เป็นภริยาอีกคนหนึ่งและไม่อุปการะเลี้ยงดูตน สำหรับเรือพรพิพัฒน์ 4 จำเลยนี้ อ้างว่าเป็นสินสมรส ซึ่งทำมาหาได้ร่วมกัน มีราคา 3,000,000 บาท ขอแบ่งครึ่งโดยให้นายมนูญชำระเงินให้จำเลยเป็นค่าเรือ 1,500,000 บาท นายมนูญให้การต่อสู้ว่า เรือพรพิพัฒน์ 4 ไม่ใช่สินสมรส เป็นของโจทก์คดีนี้ ซึ่งเมื่อถึงคราวสืบพยาน จำเลยเบิกความมีสาระสำคัญว่า จำเลยและนายมนูญเป็นสามีภริยากันและต่างไม่มีสินเดิม ระหว่างอยู่กินด้วยกันทำมาหาได้ก็ไปซื้อเรือพรพิพัฒน์ 1 แล้วขายไปซื้อเรือพรพิพัฒน์ 2 และหุ้นส่วนกับผู้อื่นซื้อเรือพรพิพัฒน์ 3 ต่อมาเรือพรพิพัฒน์ 2 จมหายไป และขายหุ้นส่วนเรือพรพิพัฒน์ 3 มาซื้อเรือพรพิพัฒน์ 4 โดยใส่ชื่อนายมนูญสามีกับโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกัน และข้อเท็จจริงฟังได้ต่อไปตามคำเบิกความของนายมนูญและโจทก์ว่า โจทก์เป็นผู้ซื้อตัวเรือพรพิพัฒน์ 4 นายมนูญเป็นผู้เช่าซื้อเครื่องยนต์มาใส่เรือแบบหุ้นส่วนกันและใส่ชื่อร่วมกันเป็นเจ้าของเรือพรพิพัฒน์ 4 จึงมีชื่อโจทก์เป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย และเป็นทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างจำเลยและนายมนูญยังเป็นสามีภริยากัน ซึ่งผลที่สุดในคดีแพ่งดังกล่าวศาลอุทธรณ์พิพากษาให้แบ่งเรือพรพิพัฒน์ 4 ให้จำเลยนี้เพียงหนึ่งในสี่และไม่มีฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าคำเบิกความของจำเลยในคดีแพ่งดังกล่าวแม้จะเกินเลยไปบ้างว่าเคยเป็นเจ้าของเรือพรพิพัฒน์ 1, 2 และ 3 และโจทก์นี้เป็นแม่ค้าปลาไม่มีฐานะพอจะซื้อเรือพรพิพัฒน์ 4 ก็ไม่เป็นข้อสำคัญในคดีเพราะไม่ทำให้โจทก์ซึ่งมีกรรมสิทธิ์รวมอยู่ในเรือพรพิพัฒน์ 4 ได้รับความเสียหาย
พิพากษายืน