แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยจะข่มขืนกระทำชำเรา น. เด็กหญิงอายุ 13 ปีน. ไม่ยอม จำเลยฟัน น. ถึง 8 แผล ส. น้องชาย อายุ 11 ปีเข้าช่วย จำเลยฟัน ส. 4 แผล ซึ่งแต่ละแผลถูกอวัยวะสำคัญเช่น คอ ศีรษะ คอเกือบขาด แม้ ส. จะร้องว่ากลัวแล้วไหว้แล้ว จำเลยก็ไม่หยุดยั้งดังนี้ จำเลยกระทำโดยเจตนาฆ่าด้วยจิตใจอำมหิต ขาดความเมตตาเท่านั้นมิใช่เป็นการกระทำทารุณโหดร้ายต่อผู้ตายทั้งสองตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(5) คงมีความผิดตาม มาตรา 288
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2524 เวลากลางวันจำเลยโดยเจตนาไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงน้ำฝน บำรุงยุทธ ผู้เสียหายอายุไม่เกิน 13 ปี ซึ่งมิใช่ภริยาจำเลย จำเลยไล่กอดปล้ำขู่เข็ญทำร้ายผู้เสียหายมิให้ขัดขืน ผู้เสียหายไม่ยินยอมและขัดขืน ทันใดนั้นจำเลยใช้ขวานเป็นอาวุธไล่ฟันผู้เสียหายหลายที โดยเจตนาฆ่าผู้เสียหายอย่างทารุณโหดร้าย จำเลยฟันผู้เสียหายตามบริเวณศรีษะ คอ และบริเวณร่างกายหลายแผลล้วนเป็นแผลฉกรรจ์ ผู้เสียหายถึงแก่ความตายทันทีสมเจตนาของจำเลย จำเลยลงมือกระทำความผิดเพื่อข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายแล้ว แต่กระทำไปไม่ตลอดเพราะผู้เสียหายขัดขืนและจำเลยฆ่าผู้เสียหายก่อนในขณะที่จำเลยลงมือกระทำความผิดดังกล่าว ผู้เสียหายร้องขอความช่วยเหลือ เด็กชายสุริยันต์ บำรุงยุทธ น้องผู้เสียหายได้ยินจึงร้องขอจำเลยมิให้กระทำต่อผู้เสียหายดังกล่าว จำเลยใช้ขวานเป็นอาวุธฟันเด็กชายสุริยันต์ บำรุงยุทธ หลายที เด็กชายสุริยันต์ บำรุงยุทธ ร้องขอชีวิตของตนและของผู้เสียหาย จำเลยก็ฟันอย่างไม่ลดละ โดยมีเจตนาฆ่าเด็กชายสุริยันต์ บำรุงยุทธ อย่างทารุณโหดร้าย ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการกระทำความผิดต่อผู้เสียหาย เด็กชายสุริยันต์ บำรุงยุทธ ถึงแก่ความตายทันทีสมเจตนาของจำเลย เหตุทุกกรณีเกิดที่ตำบลสะพลี อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร เจ้าพนักงานตำรวจยึดได้ขวาน 1 เล่มที่จำเลยใช้กระทำความผิดเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 277, 277 ทวิ, 277 ตรี, 288, 289, 80
นายทองเชื้อ บำรุงยุทธ บิดาผู้ตายทั้งสองยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยกระทำทารุณโหดร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289, 80 วางโทษประหารชีวิตในกระทงฆ่าเด็กหญิงน้ำฝน บำรุงยุทธ และประหารชีวิตในกระทงฆ่าเด็กชายสุริยันต์ บำรุงยุทธ โดยเรียงกระทงลงโทษ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่านายเชื้อ นางประเพ็ญมีบุตรด้วยกัน 3 คน คือเด็กหญิงน้ำฝนผู้ตายซึ่งมีอายุ 13 ปี มีชื่อเล่นว่าอ้อ เด็กชายสุริยันต์ผู้ตายอายุ 11 ปี มีชื่อเล่นว่าโอบและเด็กชายลิขิต เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2524 ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุคดีนี้ นายทองเชื้อกับนางประเพ็ญออกไปเกี่ยวข้าวที่นาเวลาประมาณ 7 นาฬิกาให้ผู้ตายทั้งสองเฝ้าบ้าน ส่วนเด็กชายลิขิตไปค่ายลูกเสือตั้งแต่วันที่ 26 เดือนเดียวกัน ในวันเกิดเหตุนั้น นางสะอาดไปเกี่ยวข้าวที่นาซึ่งอยู่ห่างบ้านนายทองเชื้อประมาณ 1 เส้น ตั้งแต่เช้า ครั้นเวลาประมาณ 10 นาฬิกา นางสะอาดได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงร้องขอความช่วยเหลือ ระบุชื่อว่าจำเลยปล้ำ นางสะอาดวิ่งไปดูระหว่างทางได้ยินเสียงเด็กผู้ชายร้องห้ามระบุชื่อจำเลยว่าอย่าปล้ำพี่อ้อ เมื่อนางสะอาดวิ่งไปถึงที่ห่างจากบ้านนายทองเชื้อประมาณ 4-5 วา ก็ได้ยินเสียงเด็กผู้ชายร้องระบุชื่อจำเลยห้ามไม่ให้ฟันพี่อ้อเด็กผู้หญิงก็ร้องว่าอย่าฟัน ๆ นางสะอาดวิ่งขึ้นบันไดบ้านนายทองเชื้อที่ประตูเปิดอยู่ด้านข้างยุ้งข้าวขึ้นบันไดไปเพียง 2 ขั้น เห็นจำเลยถือขวานยืนปล้ำเด็กหญิงน้ำฝนและเด็กชายสุริยันต์ดึงเสื้อจำเลยอยู่ด้านหลังจำเลยใช้ขวานฟันศีรษะเด็กหญิงน้ำฝน เด็กหญิงน้ำฝนล้ม เด็กชายสุริยันต์ร้องห้าม นางสะอาดกลัวจำเลยจะเห็นจึงถอยมายืนข้างยุ้งข้าวและได้ยินเด็กชายสุริยันต์ร้องระบุชื่อจำเลยว่าฟันน้องโอบ น้องโอบกลัวแล้ว น้องโอบไหว้แล้วอยู่หลายครั้ง แล้วเสียงเด็กทั้งสองก็เงียบไป จำเลยกระโดดลงมาทางบันไดที่นางสะอาดขึ้นไปประจัญหน้ากับนางสะอาด จำเลยพูดว่ามึงอย่าบอกใคร บอกใครกูฆ่าเลยแล้วจำเลยวิ่งหนีเข้าป่าไป นางสะอาดขึ้นบันไดชะโงกดูบนบ้านเห็นเด็กชายสุริยันต์กับเด็กหญิงน้ำฝนนอนตายอยู่ มีเลือดเต็มไปหมด นางสะอาดเกือบเป็นลมจึงวิ่งกลับบ้านไปถึงบ้านพบนายสวัสดิ์สามี นางสะอาดเดินโซเซและตัวสั่น นายสวัสดิ์ถามว่าเป็นอะไร นางสะอาดบอกว่าจะเป็นลมเอามากินก่อน นางสะอาดกินยาลมแล้วบอกนายสวัสดิ์ว่า มึงอย่าเอะอะไปจำเลยฆ่าไอ้โอบไอ้อ้อตายแล้วและอย่าออกจากบ้าน คืนนั้นนายสวัสดิ์กับนางสะอาดไม่ได้ออกจากบ้านไปไหน พอรุ่งเช้านางสะอาดก็ขึ้นรถไฟไปอยู่กับลูกชายที่หัวหินเพราะกลัวจะถูกฆ่า และกลัวต่าง ๆ นา ๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบทราบว่าจำเลยเป็นคนร้ายจึงจับกุมจำเลยเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2524 นายสวัสดิ์ไปบอกนางสะอาดว่าจำเลยถูกจับแล้ว นางสะอาดจึงกลับมาบ้าน ต่อมาอีก 3 – 4 วัน จึงไปบอกนายทองเชื้อว่าเห็นจำเลยเป็นคนฆ่าผู้ตายทั้งสอง และนางประเพ็ญพานางสะอาดไปให้การต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ
จำเลยนำสืบอ้างฐานที่อยู่และว่าผู้ตายทั้งสองเป็นหลานนางสะอาด
พิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์จำเลยโดยตลอดแล้ว ข้อยุติเบื้องแรกฟังได้ว่า มีคนร้ายใช้ขวานเป็นอาวุธฟันเด็กหญิงน้ำฝน บำรุงยุทธ เด็กชายสุริยันต์ บำรุงยุทธ ตายจริง ปัญหามีว่า จำเลยกระทำความผิดดังฟ้องหรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวจากคำเบิกความของนายทองเชื้อ นางประเพ็ญบิดามารดาของผู้ตายทั้งสอง ซึ่งจำเลยก็เบิกความยอมรับว่า นายทองเชื้อกับจำเลยต่างทำงานเป็นลูกจ้างการรถไฟด้วยกันและสนิทสนมกัน จำเลยไปรับประทานอาหารและดื่มสุราที่บ้านนายทองเชื้อบ่อย ๆ คนในครอบครัวของนายทองเชื้อทุกคนรู้จักคุ้นเคยกับจำเลยดี จำเลยมีชื่อเล่นว่า “โจ้ง”เด็กหญิงน้ำฝนผู้ตายเรียกจำเลยว่า “ตาโจ้ง” และเป็นเด็กที่มีรูปร่างอ้วนสมบูรณ์กว่าอายุ นายทองเชื้อกับนางประเพ็ญต่างเบิกความว่า เมื่อวันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม 2524 จำเลยถามนายทองเชื้อว่าจะไปเกี่ยวข้าวเมื่อใด นายทองเชื้อบอกว่าวันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม 2524 ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุจำเลยบอกว่าจะไปช่วย ในวันเกิดเหตุนั้นนายทองเชื้อกับนางประเพ็ญออกจากบ้านไปเกี่ยวข้าวที่นากับแขกอื่น ๆ ที่นัดไว้เวลาประมาณ 7 นาฬิกาให้ผู้ตายทั้งสองอยู่เฝ้าบ้าน ก่อนออกจากบ้านนางประเพ็ญได้สั่งเด็กหญิงน้ำฝนผู้ตายว่า ถ้าตาโจ้ง (จำเลย) มาให้ตามไปที่นาและวันนั้นจำเลยไม่ได้ไปช่วยเกี่ยวข้าวตามนัด และว่าจำเลยเคยมีประวัติข่มขืนผู้อื่นโดยจำเลยเล่าให้ฟังแต่ไม่มีเรื่องถึงสถานีตำรวจ ซึ่งนายทองเชื้อว่าได้เล่าความดังกล่าวให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการจับกุมจำเลยในวันที่29 ธันวาคม 2524 จ่าสิบตำรวจกำพลผู้ร่วมทำการจับกุมจำเลยด้วยเบิกความว่า ได้ยึดกางเกงขาสั้นสีขาว 1 ตัว เป็นของกลาง กางเกงนั้นแขวนอยู่ที่ราวผ้าใต้ชายคาบ้าน ไม่มีรอยซัก ลักษณะเปื้อนเลือดซึ่งในบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.2 ก็ปรากฏเรื่องของกลางดังกล่าว และนางสะอาดเบิกความว่า ในวันเกิดเหตุนั้น ขณะที่นางสะอาดเกี่ยวข้าวอยู่ในนาห่างจากบ้านายทองเชื้อประมาณ 1 เส้น ครั้นเวลาประมาณ 10 นาฬิกา ได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงร้องที่บ้านของนายทองเชื้อว่า น้องโอบช่วยพี่ด้วย ตาโจ้งปล้ำพี่ร้องเช่นนี้อยู่หลายครั้ง นางสะอาดจึงวิ่งไปดู ระหว่างทางก็ได้ยินเสียงเด็กผู้ชายร้องว่า ตาโจ้งอย่าปล้ำพี่อ้อช่วยทีหลายครั้งเช่นกัน เมื่อนางสะอาดวิ่งไปห่างจากบ้านนายทองเชื้อ 4 – 5 วา ก็ได้ยินเสียงเด็กผู้ชายร้องว่า ตาโจ้งอย่าฟันพี่อ้อ ๆ และเด็กผู้หญิงร้องว่า อย่าฟัน ๆ เมื่อนางสะอาดวิ่งขึ้นบันไดบ้านข้างยุ้งข้าวไปได้ 2 ขั้น ก็เห็นจำเลยถือขวานยืนปล้ำเด็กหญิงน้ำฝนเด็กชายสุริยันต์ดึงเสื้อจำเลยอยู่ข้างหลัง จำเลยใช้ขวานฟันศีรษะเด็กหญิงน้ำฝน เด็กชายสุริยันต์ก็ร้องว่า อย่าฟันพี่อ้อ ๆ เด็กหญิงน้ำฝนล้มนางสะอาดถอยมายืนข้างยุ้งข้าวเพราะความกลัวและได้ยินเสียงเด็กชายร้องว่าตาโจ้งอย่าฟันน้องโอบ น้องโอบกลัวแล้ว น้องโอบไหว้แล้ว ร้องอยู่หลายครั้งแล้วเสียงร้องของเด็กทั้งสองก็เงียบไป จำเลยกระโดดลงจากบ้านทางบันไดที่นางสะอาดขึ้นไปได้ประจัญหน้ากับนางสะอาดที่ยืนอยู่ ทั้งนางสะอาดและจำเลยต่างตกใจ และจำเลยพูดว่ามึงอย่าบอกใคร บอกใครกูฆ่าเลยแล้วจำเลยวิ่งเข้าป่าไปทางทิศตะวันออก นางสะอาดขึ้นบันไดชะโงกเข้าไปดูบนบ้านเห็นเด็กชายสุริยันต์กับเด็กหญิงน้ำฝนนอนตายอยู่มีเลือดเต็มไปหมดนางสะอาดจะเป็นลมวิ่งกลับบ้านถึงบ้านบอกนายสวัสดิ์ผู้เป็นสามีเอายาลมให้กินแล้วจึงเล่าให้นายสวัสดิ์ฟังว่าจำเลยฆ่าผู้ตายทั้งสองและห้ามไม่ให้นายสวัสดิ์บอกใครเพราะกลัวจำเลยซึ่งนายสวัสดิ์ก็เบิกความสนับสนุนคำของนางสะอาดในข้อนี้ และว่าวันรุ่งขึ้นนางสะอาดก็หนีไปอยู่กับบุตรที่หัวหินด้วยความกลัวภัยจากจำเลย ต่อเมื่อตำรวจจับจำเลยแล้วนายสวัสดิ์ไปบอกให้นางสะอาดทราบและปลอบโยนจนนางสะอาดหายกลัวแล้วจึงยอมให้นางประเพ็ญพาไปให้การต่อพนักงานสอบสวน ส่วนพยานฐานที่อยู่ของจำเลยที่อ้างว่าจำเลยไปอยู่ที่บ่อนไก่ตั้งแต่ 7 นาฬิกาของวันเกิดเหตุจนถึงเวลา 17 นาฬิกา โดยมีนายจวบ นายเยี่ยม นายสุชีพ นายชื้อ นายจอมเบิกความสนับสนุนข้ออ้างของจำเลยนั้น โจทก์มีนายบุญรอดเบิกความว่าเห็นจำเลยกับบุตรชายออกจากบ้านของจำเลยมุ่งหน้าไปทางบ่อนไก่เมื่อเวลาประมาณ 11 นาฬิกา ซึ่งเป็นเวลาหลังเกิดเหตุซึ่งนางสะอาดว่าเหตุเกิดเวลาประมาณ 1 นาฬิกาและนายจวบพยานจำเลยก็ให้การในชั้นสอบสวนและตอบคำถามค้านโจทก์ว่าจำเลยเข้ามาเล่นไก่ชนเมื่อเวลาประมาณเกือบเที่ยง ปกติจำเลยมาตอนเช้าสมคำเบิกความของนายบุญรอดพยานโจทก์ ทำให้พยานฐานที่อยู่ของจำเลยไม่มีน้ำหนักเห็นว่า แม้โจทก์จะมีนางสะอาดเป็นประจักษ์พยานปากเดียวแต่พยานประกอบของโจทก์ซึ่งมีนายทองเชื้อ นางประเพ็ญ บิดามารดาของผู้ตายทั้งสองที่ว่าจำเลยได้มาถามก่อนวันเกิดเหตุหนึ่งวันว่าจะเกี่ยวข้าวเมื่อไรเมื่อบอกให้จำเลยทราบจำเลยรับว่าจะไปช่วยเกี่ยวข้าว แต่ก็ไม่ไปตามนัดซึ่งเป็นพิรุธของจำเลยในเบื้องแรก เมื่อจับจำเลยแล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจยึดได้กางเกงขาสั้นสีขาวเปื้อนเลือดจากบ้านจำเลย ลักษณะของกางเกงตรงกับกางเกงที่นางสะอาดเห็นจำเลยขณะเกิดเหตุ นายสวัสดิ์ก็ว่า ในวันเกิดเหตุนั้นเอง นางสะอาดได้บอกให้ทราบว่าเห็นจำเลยฆ่าผู้ตายทั้งสอง นางสะอาดเคยรู้จักจำเลยมานานแล้วไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะทำให้ระแวงสงสัยว่านางสะอาดจะปรักปรำใส่ร้ายจำเลย แม้นางสะอาดจะไม่ได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหรือบอกเล่าให้บิดามารดาของผู้ตายทราบว่าเห็นจำเลยฆ่าผู้ตายทันทีที่เกิดเหตุทั้ง ๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นญาติกับผู้ตายแต่เมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์ที่นางสะอาดเป็นหญิงอายุมากแล้ว เห็นการกระทำของจำเลยที่กระทำต่อผู้ตายทั้งสองอย่างไร้ความเมตาปรานีและจำเลยยังขู่ว่าหากบอกใครจะฆ่า ถึงขนาดนางสะอาดหลบหนีไปอยู่ที่อื่น แสดงให้เห็นว่านางสะอาดมีความกลัวอันตรายที่จะเกิดจากจำเลยเป็นอย่างมาก ต่อมาตำรวจจับจำเลยได้แล้วและได้รับการปลอบโยนจากสามีจึงหายกลัวและยอมมาให้การต่อตำรวจเห็นว่า เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่กลัวมาก ๆ ที่กระทำอย่างนั้นไม่เป็นพิรุธแต่ประการใด เมื่อพิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งหมดประกอบกันแล้ว เชื่อได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยได้ใช้ขวานเป็นอาวุธฟันผู้ตายทั้งสองหลายแผลจนถึงแก่ความตายจริง ดังปรากฏตามรายงานการชันสูตรพลิกศพ พยานฐานที่อยู่ของจำเลยไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะหักล้างพยานโจทก์ได้ แต่การกระทำของจำเลยที่ใช้ขวานฟันเด็กหญิงน้ำฝนผู้ตายถึง 8 แผลเด็กชายสุริยันต์ 4 แผล ซึ่งแต่ละแผลถูกอวัยวะสำคัญของร่างกายเช่นที่คอศีรษะ ขนาดคอเกือบขาด แม้เด็กชายสุริยันต์จะร้องบอกว่ากลัวแล้ว ไหว้แล้ว จำเลยก็ไม่หยุดยั้งที่จะฟันทำร้ายผู้ตายเช่นนี้เห็นว่าจำเลยกระทำโดยเจตนาฆ่าให้ตายด้วยจิตใจอำมหิตขาดความเมตตาเท่านั้น มิใช่เป็นการกระทำทารุณโหดร้ายต่อผู้ตายทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(5)
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 การลงโทษให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์