แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
มูลหนี้แต่ละรายเกิดขึ้นเมื่อลูกหนี้รับเงินไปแล้วออกตั๋วสัญญาใช้เงินและทำสัญญารับชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ หาได้เกิดตั้งแต่วันที่เจ้าหนี้ตกลงจะให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ไม่
แม้จะยังไม่ประกาศคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดลูกหนี้ในราชกิจจานุเบกษา และเจ้าหนี้จะจ่ายเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่นำมาขอรับชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้โดยสุจริตและไม่ทราบคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เจ้าหนี้ก็จะขอรับชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวไม่ได้ตามมาตรา 94 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดลูกหนี้เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๒๔ เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินและสัญญารับชำระหนี้เป็นเงิน ๘๓๒,๐๐๐ บาท เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วทำความเห็นว่า มูลหนี้ที่เจ้าหนี้ขอรับชำระเกิดขึ้นหลังวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เห็นควรยกคำขอรับชำระหนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้
เจ้าหนี้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า กรณีเชื่อได้ว่าเจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ไม่ทราบคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เพราะคำสั่งดังกล่าวเพิ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาหลังจากเจ้าหนี้จ่ายเงินให้ลูกหนี้ไปแล้ว และมูลหนี้รายนี้เกี่ยวเนื่องมาจากการตกลงระหว่างเจ้าหนี้ลูกหนี้ก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เจ้าหนี้จึงมีสิทธิขอรับชำระหนี้รายนี้ พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้น อนุญาตให้เจ้าหนี้ผู้รับชำระหนี้ได้รับชำระหนี้จำนวน ๘๓๒,๐๐๐ บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ทั้งสองฎีกาว่าศาลได้สั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ทั้งสองเด็ดขาด เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๒๔เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว ตามมาตรา ๒๒ และ ๒๔ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ ลูกหนี้ทั้งสองไม่มีอำนาจกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินหรือกิจการของตน ลูกหนี้ที่ ๑ ออกตั๋วสัญญาใช้เงินที่เจ้าหนี้ผู้รับชำระหนี้รายที่ ๘ นำมาขอรับชำระหนี้ เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๒๔ มูลหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวเป็นมูลหนี้ที่เกิดขึ้นหลังวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่อาจขอรับชำระหนี้ได้ตามมาตรา ๙๔ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช ๒๔๘๓ นั้น เห็นว่าแม้เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้รายที่ ๘ ได้ทำสัญญาจะให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ที่ ๑ เพื่อให้ลูกหนี้ที่ ๑ นำเงินไปประกอบธุรกิจส่งสินค้าไปต่างประเทศโดยกำหนดวิธีการให้สินเชื่อดังที่ศาลฎีกากล่าวข้างต้นตั้งแต่พ.ศ. ๒๕๑๘ แต่ลูกหนี้ที่ ๑ ต้องการสินเชื่อเมื่อใด เป็นจำนวนเงินเท่าใด ลูกหนี้ที่ ๑จะต้องนำเลตเตอร์ออฟเครดิตของผู้สั่งซื้อสินค้ามาแสดง โดยเลตเตอร์ออฟเครดิตนั้นจะต้องผ่านธนาคารในต่างประเทศมายังธนาคารในประเทศ และลูกหนี้ที่ ๑จะต้องออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้รายที่ ๘ ตามจำนวนเงินที่ได้รับจากเจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้รายที่ ๘ ทั้งจะต้องทำสัญญารับชำระหนี้ด้วย เห็นได้ชัดว่า มูลหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินและสัญญารับชำระหนี้ที่ลูกหนี้ที่ ๑ออกให้แก่เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้รายที่ ๘ เกิดขึ้นเป็นคราว ๆ ไป มูลหนี้แต่ละรายเกิดขึ้นเมื่อลูกหนี้ที่ ๑ รับเงินไปแล้วออกตั๋วสัญญาใช้เงินและทำสัญญารับชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้รายที่ ๘ ดังนั้นมูลหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินลงวันที่ ๓๐กรกฎาคม ๒๕๒๔ และสัญญารับชำระหนี้ลงวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๒๔ ที่เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้รายที่ ๘ มาขอรับชำระหนี้รายนี้จึงเกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม๒๕๒๔ หลังจากวันที่ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดลูกหนี้ทั้งสองแล้ว หาได้เกิดตั้งแต่วันที่เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้รายที่ ๘ ตกลงจะให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ที่ ๑ ตั้งแต่พ.ศ. ๒๕๑๘ ไม่ แม้จะยังมิได้ประกาศคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในราชกิจจานุเบกษาและเจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้รายที่ ๘ จะจ่ายเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่นำมาขอรับชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ที่ ๑ ไปโดยสุจริตและไม่ทราบคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดของลูกหนี้ทั้งสอง เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้รายที่ ๘ ก็จะขอรับชำระหนี้ในจำนวนเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวไม่ได้ตามมาตรา ๙๔ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช ๒๔๘๓
พิพากษากลับ ให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ตามคำสั่งศาลชั้นต้น