แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีก่อน นายคำฟ้องเรียกเงินนางนิตย์ แล้วทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยนางนิตย์โอนที่ดิน 10 ไร่ ส่วนของนางนิตย์ตีใช้หนี้เงินกู้ให้แก่นายคำ ถึงนายคำจะมิได้ร้องสอดเข้ามาในคดีหลัง แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่าที่ดินเป็นของนายคำ 10 ไร่ โจทก์ก็ย่อมไม่มีสิทธิที่จะเอาที่ดินส่วนของนายคำมาชำระหนี้ในคดีหลังที่โจทก์ชนะคดีจำเลยได้
ย่อยาว
ในชั้นแรกคดีก่อนศาลพิพากษาให้นางนิตย์จำเลยใช้เงินกู้ให้แก่นายคำ นางนิตย์ไม่ใช้นางคำนำเจ้าพนักงานยึดที่ดินโฉนดที่ ๒๑๑๗ เฉพาะส่วนของนางนิตย์ ๒๐ ไร่ นายเผื่อนร้องขัดทรัพย์ในที่สุดทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน นางนิตย์ยอมโอนที่ดินของนางนิตย์ส่วนหนึ่ง คือ ๑๐ ไร่ ให้แก่นายคำ อีกส่วนหนึ่ง ๑๐ ไร่ให้แก่บุตรของนางนิตย์เอง ต่อจากนั้น มาโจทก์จึงฟ้องคดีนี้ ในคดีหลังนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นายเผื่อนนางนิตย์จำเลยใช้หนี้เงินกู้และดอกเบี้ยรวม ๓๑,๐๗๕ บาท ให้แก่โจทก์ ่จำเลยไม่ใช้ โจทก์จึงนำยึดที่นาโฉนดที่ ๒๑๑๗ เนื้อที่ ๑๙๐ ไร่เศษ ยึดเฉพาะส่วนของนางนิตย์จำเลย ๒๐ ไร่ เพื่อขายทอดตลาดเอาเงินใช้หนี้โจทก์
ศาลชั้นต้นสั่งว่า ที่ดินส่วนของนายคำ ๑๐ ไร่ เป็นกรรมสิทธิ์ของนายคำแล้ว โจทก์จะเอามาขายทอดตลาดไม่ได้ คงเรียกร้องเอาได้เฉพาะส่วนของบุตรจำเลยซึ่งจำเลยยอมให้เอาชำระหนี้เท่านั้น ถ้าโจทก์ติดใจเอาส่วนของนายคำก็ให้ดำเนินคดีกับนายคำภายใน ๑ เดือน ถ้าพ้นกำหนดนี้ให้ถือว่าสละสิทธิ์ไม่เกี่ยวข้องกับส่วนของนายคำ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิที่จะบังคับเอาเฉพาะที่เป็นส่วนของจำเลยเท่านั้น ถ้าโจทก์กับนายคำไม่สามารถจะแบ่งที่ดินกันได้ ก็ให้ขายทอดตลาดที่พิพาท ๒๐ ไร่ แล้วแบ่งเงินที่ขายได้ให้แก่นายคำกึ่งหนึ่ง ส่วนของจำเลยให้โจทก์บังคับคดีต่อไป
โจทก์ฎีกา ขอให้เอาเงินที่ขายทอดตลาดที่พิพาทแบ่งเฉลี่ยให้โจทก์ตามส่วนแห่งหนี้ และว่า นายคำมิได้ร้องสอดเข้ามาเกี่ยวข้องกับที่ดินที่โจทก์ยึด
ศาลฎีกาเห็นว่าถึงนายคำจะมิได้ร้องสอดเข้ามาในคดีหลัง แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่าที่ดินเป็นของนายคำ ๑๐ ไร่ โจทก์ก็ย่อมไม่มีสิทธิที่จะเอาที่ดินส่วนของนายคำมาชำระหนี้ได้ ส่วนฎีกาข้ออื่น ๆ เป็นข้ออ้างขึ้นมาใหม่ มิได้ยกว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จึงไม่รับวินิจฉัยให้ พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์