คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2488/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติแต่งตั้งจำเลยให้เป็นหัวหน้าศูนย์ป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิงในโครงการน้ำมันสีเขียว โดยจำเลยมีหน้าที่จัดเจ้าพนักงานตำรวจกองตำรวจน้ำไปตรวจสอบว่า เรือบรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิงได้เดินทางไปถึงน่านน้ำเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักรด้วยความเรียบร้อย โดยมีน้ำมันเชื้อเพลิงครบตามจำนวนที่ได้รับมาจากคลังน้ำมันหรือไม่ เมื่อเห็นว่าเรียบร้อยดีแล้วก็จะลงลายมือชื่อในใบกำกับการขนส่งน้ำมันดีเซล หลังจากนั้นเรือดังกล่าวจึงสามารถถ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงที่ขนส่งได้ การตรวจสอบการขนส่งน้ำมันดีเซลในโครงการน้ำมันสีเขียวเพื่อป้องกันมิให้มีการลักลอบจำหน่ายในราชอาณาจักร หรือนำน้ำมันดังกล่าวกลับเข้ามาจำหน่ายในราชอาณาจักร จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการอย่างหนึ่งในงานปราบปรามการกระทำความผิด ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานตำรวจน้ำเดินทางไปกับเรือบรรทุกน้ำมันไปจนถึงน่านน้ำเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักรเพื่อปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการ จำเลยย่อมไม่มีสิทธิรับเงินค่าใช้จ่ายใดๆ จากผู้ประกอบการจำหน่ายน้ำมันดีเซล การที่จำเลยรับเงินแล้วสั่งการให้เจ้าพนักงานตำรวจกองตำรวจน้ำเดินทางไปกับเรือบรรทุกน้ำมันเพื่อปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว แม้จะนำเงินมาจ่ายเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงพิเศษให้แก่เจ้าพนักงานตำรวจกองตำรวจน้ำที่เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ในเรือบรรทุกน้ำมันก็ตาม ก็เป็นการรับทรัพย์สินเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ตาม ป.อ. มาตรา 149 เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 149 ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว กรณีไม่จำเป็นต้องปรับบทความผิดตามมาตรา 157 ที่เป็นบททั่วไปอีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90, 91, 149, 157
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ ตำแหน่งผู้บังคับการกองตำรวจน้ำ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2544 ถึง 30 กันยายน 2546 มีหน้าที่ปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิงและความผิดอาญาอื่น ๆ ในทางน้ำ รัฐบาลจัดให้มีโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลให้แก่ผู้ประกอบการประมงในน่านน้ำเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร เพื่อให้ผู้ประกอบการประมงได้ใช้น้ำมันที่มีคุณภาพ ราคาถูกและเพื่อป้องกันและปราบปรามการค้าน้ำมันเถื่อน โดยให้นโยบายยกเว้นภาษีสรรพสามิตแก่ผู้ประกอบการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำน้ำมันดีเซลไปจำหน่ายในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักรและได้มีประกาศกรมสรรพสามิต เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการยกเว้นภาษีสำหรับน้ำมันดีเซลที่นำไปจำหน่ายในเขตต่อเนื่อง กำหนดให้การขนถ่ายน้ำมันดีเซลไปจำหน่ายในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักรโดยทางเรือ เมื่อเรือไปถึงเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักรแล้วก่อนที่จะจำหน่ายน้ำมันหรือถ่ายน้ำมันให้เจ้าของเรือบรรทุกน้ำมันเจ้าของเรือหรือนายเรือจะต้องแจ้งให้ศูนย์ป้องกันและปราบปราม การกระทำความผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิงมาตรวจสอบและลงลายมือชื่อรับรองว่าได้ขนส่งน้ำมันไปถึงเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักรแล้วในใบกำกับการขนส่งน้ำมันดีเซลที่กำกับไปกับเรือ เพื่อผู้ประกอบการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงจะได้ใช้เป็นหลักฐานในการยกเว้นภาษีตามโครงการน้ำมันสีเขียว ซึ่งหน่วยงานที่เข้าร่วมโครงการ คือ กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกระทรวงพลังงาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติแต่งตั้งจำเลยเป็นหัวหน้าศูนย์ป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิงในโครงการน้ำมันสีเขียว โดยจำเลยมีหน้าที่ต้องจัดเจ้าพนักงานตำรวจกองตำรวจน้ำไปตรวจสอบว่า น้ำมันดีเซลที่บรรทุกมากับเรือของผู้ประกอบการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นน้ำมันดีเซลตามโครงการน้ำมันสีเขียวของรัฐบาลและได้ขนส่งมาถึงเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักรจริง มีปริมาณครบถ้วนตรงตามที่ระบุไว้ในใบกำกับการขนส่ง และเมื่อเห็นว่าถูกต้องครบถ้วนแล้วจึงให้ลงลายมือชื่อรับรองในใบกำกับการขนส่งที่กำกับมากับเรือ หลังจากนั้นเรือดังกล่าวจึงสามารถขนถ่ายน้ำมันที่ขนส่งได้ กองตำรวจน้ำมีเรือ 2 ลำ ในการตรวจตราเรือบรรทุกน้ำมันในโครงการจึงทำให้การตรวจล่าช้าและเรือบรรทุกน้ำมันไม่สามารถไปส่งน้ำมันให้แก่ชาวประมงทั่วถึง ชาวประมงได้ร้องเรียนมาที่สมาคมการประมงแห่งประเทศไทยว่า การจำหน่ายน้ำมันสีเขียวให้แก่ชาวประมงไม่ทั่วถึงและมีจำนวนน้อย สมาคมการประมงแห่งประเทศไทยจึงร้องเรียนต่อไปยังรัฐบาล กระทรวงพลังงานได้จัดสัมมนาที่ ภูเก็ต ในการสัมมนา ผู้ประกอบการเรือบรรทุกน้ำมันต้องการให้เจ้าพนักงานตำรวจลงเรือบรรทุกน้ำมันตั้งแต่คลังน้ำมันไปถึงเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร โดยจะจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงในการเดินทาง ค่าอาหารกินอยู่บนเรือวันละ 500 บาท ต่อคนต่อวัน โดยสมาคมการประมงแห่งประเทศไทยเป็นผู้ประสานงานกับผู้ประกอบการเรือบรรทุกน้ำมันเพื่อนำเงินไปให้แก่ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง (ศปนม.) โดยสมาคมการประมงแห่งประเทศไทยได้นำเงินไปให้จำเลยจำนวน 48 ครั้ง รวมเป็นเงิน 3,075,000 บาท จำเลยได้ทำหนังสือขอบคุณไปยังสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย หลังจากนั้นจำเลยจึงสั่งการให้เจ้าพนักงานตำรวจกองตำรวจน้ำเดินทางไปกับเรือบรรทุกน้ำมันเพื่อตรวจความเรียบร้อยตั้งแต่คลังน้ำมันไปจนถึงเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า เจ้าพนักงานตำรวจกองตำรวจน้ำมีหน้าที่ไปตรวจสอบว่าเรือบรรทุกน้ำมันได้เดินทางไปถึงน่านน้ำเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักรด้วยความเรียบร้อย โดยมีน้ำมันครบตามจำนวนที่ได้รับมาจากคลังน้ำมันหรือไม่ เมื่อเห็นว่าเรียบร้อยดีแล้วก็จะลงลายมือชื่อในใบกำกับการขนส่งน้ำมันดีเซล หลังจากนั้นเรือดังกล่าวจึงสามารถถ่ายน้ำมันที่ขนส่งได้ การตรวจสอบการขนส่งน้ำมันดีเซลในโครงการน้ำมันสีเขียวเพื่อป้องกันมิให้มีการลักลอบจำหน่ายในราชอาณาจักร หรือนำน้ำมันกลับเข้ามาจำหน่ายในราชอาณาจักร จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการอย่างหนึ่งในงานปราบปรามการกระทำความผิด ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานตำรวจน้ำเดินทางไปกับเรือบรรทุกน้ำมันไปจนถึงน่านน้ำเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักรเพื่อปฏิบัติหน้าที่ จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการ จำเลยจึงไม่มีสิทธิรับเงินค่าใช้จ่ายใด ๆ จากผู้ประกอบการจำหน่ายน้ำมันดีเซล การที่จำเลยรับเงินแล้วสั่งการให้เจ้าพนักงานตำรวจกองตำรวจน้ำเดินทางไปกับเรือบรรทุกน้ำมันเพื่อปฏิบัติหน้าที่ แม้จะนำเงินมาจ่ายเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงพิเศษให้แก่เจ้าพนักงานตำรวจกองตำรวจน้ำที่เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ในเรือบรรทุกน้ำมันก็ตาม จึงเป็นการรับทรัพย์สินเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานเจ้าพนักงานเรียก รับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 149 เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 149 ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว กรณีไม่จำเป็นต้องปรับบทความผิดตามมาตรา 157 ที่เป็นบททั่วไปอีก ที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยไม่ได้เรียกร้องเงินและได้จ่ายเงินให้แก่เจ้าพนักงานตำรวจไปปฏิบัติหน้าที่นั้น ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดได้ เพราะข้อเท็จจริงก็ได้ความว่า หากได้รับเงินจึงจะมีเจ้าพนักงานตำรวจไปปฏิบัติหน้าที่ เช่นนี้ หากจำเลยเห็นว่าไม่มีงบประมาณเพียงพอก็ควรจะดำเนินการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขต่อไป มิใช่รับเงินอันอาจทำให้ภาคเอกชนได้รับความเสียหาย อย่างไรก็ดี ได้ความว่า การกระทำของจำเลยมุ่งประสงค์เพื่อกวาดล้างผู้ค้าน้ำมันเถื่อนและจำเลยมิได้เกี่ยวข้องกับการสั่งจ่ายหรือจัดสรรเงินให้แก่เจ้าพนักงานตำรวจกองตำรวจน้ำ ทั้งมิได้รับเงินมาเป็นประโยชน์ส่วนตนแต่อย่างใด ประกอบกับปัจจุบันจำเลยก็เกษียณอายุและชราภาพแล้ว จึงสมควรให้รอการลงโทษไว้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 เป็นการกระทำอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 5 ปี และปรับ 2,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 2 ปี 6 เดือน และปรับ 1,000 บาท รวม 48 กระทง จำคุก 96 ปี 288 เดือน และปรับ 48,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30

Share