คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2484/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อน จำเลยที่ 1 ฟ้องขับไล่โจทก์และบริวารให้ออกไปจากห้องเช่าพร้อมกับเรียกค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหาย ศาลพิพากษาให้ขับไล่โจทก์และบริวาร และให้โจทก์ชำระค่าเช่าที่ค้าง 4 เดือนเป็นเงิน 2,000 บาท กับค่าเสียหายต่อไปอีกเดือนละ 1,500 บาทจนกว่าโจทก์จะคืนห้องเช่าให้จำเลยที่ 1 คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์กลับมาฟ้องจำเลยที่ 1 ว่า ศาลพิพากษาในคดีก่อน กำหนดค่าเสียหายให้จำเลยที่ 1 เดือนละ 1,500 บาท ไม่ถูก ความจริงควรเป็นเดือนละ 500 บาท ดังนี้ เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ต้องห้าม มิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
การที่จำเลยรับชำระหนี้จากโจทก์ไปตามคำพิพากษาของศาลซึ่งมีผลบังคับตามกฎหมายนั้น หาใช่ลาภมิควรได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า คดีนี้ สืบเนื่องมาจากคดีของศาลจังหวัดตรังหมายเลขแดงที่ ๔๓๗/๒๕๐๘ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ฟ้องขับไล่โจทก์ออกจากห้องเช่าเรียกค่าเช่าที่ค้าง ๔ เดือนเป็นเงิน ๒,๐๐๐ บาท และค่าเสียหายต่อไปอีกเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท จำเลยได้นำพยานเข้าสืบในคดีนั้นว่า ห้องเช่ารายพิพาทอาจให้เช่าได้ถึงเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท เป็นเหตุให้ศาลพิพากษาให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ ๑ เดือนละ ๑,๕๐๐ บาท ซึ่งความจริงคู่สัญญาตกลงค่าเช่ากันเดือนละ ๕๐๐ บาท เท่านั้น การที่จำเลยที่ ๑ ได้รับเงินซึ่งโจทก์ต้องจ่ายไปเพราะศาลตัดสินเป็นค่าเสียหายเกินค่าเช่าไปเดือนละ ๑,๐๐๐ บาทรวมเป็นเงิน ๔๘,๓๒๒.๕๘ บาท จึงเป็นลาภมิควรได้โดยปราศจากมูลจะอ้างตามกฎหมายและในการรับเงินไปจากศาล จำเลยที่ ๑ ได้มอบให้จำเลยที่ ๒รับแทน ขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินลาภมิควรได้ดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า เงินที่โจทก์ฟ้องเรียกคืนนั้น เป็นเงินชำระหนี้ค่าเสียหายที่ศาลพิพากษาให้โจทก์ชำระแก่จำเลยที่ ๑ ไม่ใช่ลาภมิควรได้ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า ได้รับมอบฉันทะจากจำเลยที่ ๑ ให้ไปรับเงินตามฟ้องจริง และได้นำไปมอบให้จำเลยที่ ๑ แล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ ๒
ศาลชั้นต้นฟังว่า เงินที่จำเลยที่ ๑ รับไปตามฟ้อง เป็นการชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกา ไม่ใช่ได้มาโดยปราศจากมูลอันจะอ้างตามกฎหมายจึงมิใช่ลาภมิควรได้ ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นเพียงทำแทนจำเลยที่ ๑ โจทก์เรียกเงินคืนจากจำเลยทั้งสองไม่ได้ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในคดีเรื่องก่อนนั้น ศาลได้พิพากษาในประเด็นเรื่องค่าเสียหายว่า โจทก์ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายให้จำเลยที่ ๑ เดือนละ ๑,๕๐๐ บาทคดีถึงที่สุดแล้ว ที่โจทก์มาฟ้องจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นคู่ความเดียวกับคดีก่อนว่าตามที่ศาลพิพากษาในคดีก่อน กำหนดค่าเสียหายให้จำเลยที่ ๑ เดือนละ๑,๕๐๐ บาท ไม่ถูก ความจริงควรเป็นเดือนละ ๕๐๐ บาท นั้น เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันนั้นเองจึงต้องห้ามมิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘ทั้งกรณีก็หาใช่ลักษณะลาภมิควรได้ไม่ เพราะจำเลยได้รับชำระหนี้จากโจทก์ไปตามคำพิพากษาของศาลซึ่งมีผลบังคับตามกฎหมาย โจทก์จึงฟ้องเรียกเงินรายนี้จากจำเลยทั้งสองไม่ได้
พิพากษายืน

Share