คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2482/2533

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ตามแผนผังและแบบแปลนที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ซ่อมแซมและดัดแปลงอาคารพิพาทได้ระบุให้ใช้โครงสร้างเดิมซึ่งเป็นไม้แต่จำเลยกลับรื้ออาคารหลังเดิมทั้งหมดแล้วก่อสร้างใหม่ทั้งหลังโดยใช้โครงสร้างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก เสาบ้านก็ก่อสร้างขึ้นใหม่ทุกต้นพร้อมกับขยายความกว้างของตัวอาคารออกไปอีก จึงเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 31 และเป็นการก่อสร้างอาคารหลังใหม่ขึ้นตามแบบแปลนที่จำเลยให้วิศวกรเขียนขึ้นใหม่โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 21 อีกด้วยและแนวอาคารด้านทิศเหนือและทิศใต้ห่างจากศูนย์กลางทางสาธารณะไม่ถึงด้านละ 3 เมตร เป็นการขัด ต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ข้อ 72วรรคแรก หากจะให้แนวอาคารร่นระยะห่างจากศูนย์กลางทางสาธารณะด้านทิศเหนือกับด้านทิศใต้เข้ามาให้ได้ด้านละ 3 เมตร ที่ดินของจำเลยจะเหลือความยาวสำหรับก่อสร้างอาคารเพียง 6.80 เมตรเท่านั้นเมื่อที่ดินจำเลยมีเนื้อที่ไม่พอที่จะขออนุญาตให้ก่อสร้างอาคารใหม่ได้ ทั้งอาคารที่จำเลยก่อสร้างใหม่นี้เป็นอาคารที่พักอาศัยไม่มีที่ว่างเหลือ 30 ใน 100 ส่วน ของพื้นที่เป็นการขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครดังกล่าวข้อ 76 อาคารของจำเลยจึงไม่สามารถแก้ไขให้ถูกต้องตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครดังกล่าวได้ การที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีคำสั่งให้จำเลยรื้อถอนอาคารดังกล่าวแม้จะมีความมั่นคงแข็งแรงก็ถือได้ว่ามีเหตุผลสมควรจะต้องรื้อถอน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนอาคารเลขที่ 42ตรอกวัดราชนัดดา แขวงบวรนิเวศน์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานครหากจำเลยทั้งสองไม่ยอมรื้อถอน ขอให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอน โดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยทั้งสองได้รับอนุญาตให้ทำการซ่อมแซมและดัดแปลงอาคารพิพาทจริง แต่เมื่อจำเลยทำการซ่อมแซมและดัดแปลงโดยรื้อส่วนที่ต้องการซ่อมแซมตลอดจนขุดดินลึกลงไปถึงฐานรากเพื่อตรวจสอบความมั่นคงของฐานราก ทำให้ไม่มั่นใจในฐานรากเดิมว่าจะสามารถรับน้ำหนักตัวอาคารได้ ส่วนวัสดุที่ใช้ไม้ก่อสร้างไว้เดิมส่วนใหญ่มีรอยปลวกกัดกิน และหมดอายุการใช้งาน จำเลยเชื่อโดยสุจริตใจว่าสามารถทำการซ่อมแซมดัดแปลงอาคารได้ จำเลยจึงได้ทำทุกอย่างเพื่อให้เกิดความมั่นคงแข็งแรงในตัวอาคาร เพราะใช้เป็นที่อยู่อาศัยของจำเลยเอง แม้จำเลยซ่อมแซมดัดแปลงผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต ก็มิได้ผิดกฎหมายควบคุมอาคารและไม่เป็นการขัดต่อข้อบัญญัติใด ๆ ทั้งสิ้น และจำเลยมิได้ต่อเติมอาคารเปลี่ยนจาก 2 ชั้น เป็น 3 ชั้น ไม่ได้ขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นเกินกว่า 6ตารางเมตร และมิได้เพิ่มเสา 12 ต้น หรือผนังชั้น 3 แต่อย่างใดจำเลยเพียงแต่ซ่อมแซมและดัดแปลงอาคาร มิได้สร้างขึ้นใหม่จึงไม่ตกอยู่ในข้อบังคับที่จะต้องร่นแนวอาคารให้ห่างจากศูนย์กลางของทางสาธารณะ ส่วนที่อาคารพิพาทไม่มีที่ว่าง 30 ใน 100ส่วนนั้น โจทก์หรือเจ้าหน้าที่ของโจทก์ได้อนุญาตให้จำเลยทำได้ตามแบบแปลน ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 3 ชั้น เลขที่ 42 ตรอกวัดราชนัดดา แขวงบวรนิเวศน์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ถ้าจำเลยทั้งสองไม่ยอมรื้อถอนอาคารดังกล่าว ให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนได้โดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ยุติว่า จำเลยที่ 1เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินพร้อมอาคารเลขที่ 42 ตรอกวัดราชนัดดา แขวงบวรนิเวศน์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม2524 จำเลยที่ 1 ยื่นหนังสือขออนุญาตซ่อมแซมและดัดแปลงอาคารดังกล่าวตามเอกสารหมาย จ.2 พร้อมกับแนบแผนผังและแบบแปลนซ่อมแซมดัดแปลงตามเอกสารหมาย จ.4 กับได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ทำการซ่อมแซมและดัดแปลงได้ตามเอกสารหมาย จ.3โดยอาคารดังกล่าวโครงสร้างเดิมเป็นไม้ทั้งหลัง หลังคามุงสังกะสีพื้นชั้นล่างเป็นคอนกรีต จำเลยขอซ่อมแซมดัดแปลงโดยใช้โครงสร้างเดิม เปลี่ยนผนังชั้นล่างจากเดิมก่ออิฐฉาบปูน 2 ด้านเรียบต่อด้วยผนังไม้ยาง ไม้เคร่าตั้ง เป็นผนังก่ออิฐโปร่ง เอส.บี.พี. ฉาบปูนเรียบ 2 ด้าน ชั้นบนจากเดิมผนังไม้ยาง ไม้เคร่า เปลี่ยนเป็นผนังยิปซัมบอร์ดตีกรุ 2 ด้านเคร่าไม้ และเปลี่ยนหลังคาเดิมซึ่งมุงด้วยสังกะสีเป็นมุงด้วยกระเบื้องโดยใช้โครงสร้างเดิม กับตอกเสาเข็มหกเหลี่ยมกลวง 0.15 เมตร ตามแนวคานทุกระยะ 1.50 เมตร แต่ในการดำเนินการดังกล่าว จำเลยได้รื้ออาคารหลังเดิมออกทั้งหมดแล้วก่อสร้างใหม่ทั้งหลังโดยโครงสร้างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กและขยายความกว้างของตัวอาคารจากเดิมซึ่งกว้าง 5.20 เมตรเป็น 6.50 เมตรตามแบบแปลนเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.3 ปัญหาที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงมีว่า อาคารที่จำเลยก่อสร้างขึ้นนี้เป็นการซ่อมแซมและดัดแปลงอาคารหลังเดิม หรือว่าเป็นการก่อสร้างอาคารหลังใหม่ขึ้นอันจะต้องถูกรื้อถอนหรือไม่ เห็นว่า ตามแผนผังและแบบแปลนเอกสารหมาย จ.4 ที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ซ่อมแซมและดัดแปลงอาคารพิพาทนั้นได้ระบุใช้โครงสร้างเดิมซึ่งเป็นไม้แต่ในการดำเนินการ จำเลยกลับรื้ออาคารหลังเดิมออกทั้งหมดแล้วก่อสร้างอาคารขึ้นใหม่ทั้งหลัง โดยใช้โครงสร้างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก เสาบ้านก็ก่อสร้างขึ้นใหม่ทุกต้นพร้อมกับขยายความกว้างของตัวอาคารออกไปอีก จึงเป็นการก่อสร้างผิดไปจากแผนผังและแบบแปลนตามเอกสารหมาย จ.4 ที่ได้รับอนุญาตเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 31 และเป็นการก่อสร้างอาคารหลังใหม่ขึ้นตามแบบแปลนเอกสารหมาย ล.1ถึง ล.3 ซึ่งเป็นแบบแปลนที่จำเลยให้วิศวกรเขียนขึ้นใหม่และมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น เป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 21 อีกด้วย และยังปรากฏข้อเท็จจริงว่า ที่ดินที่จำเลยใช้ก่อสร้างอาคารนั้น มีความกว้าง 7 เมตร ยาว 11.10 เมตรด้านทิศเหนือและด้านทิศใต้ของที่ดินดังกล่าวติดทางสาธารณะซึ่งกว้าง1.90 เมตร และ 1.50 เมตร ตามลำดับ กับตามแผนผังและแบบแปลนเอกสาร หมาย จ.4 ปรากฏว่าแนวอาคารด้านทิศเหนือและทิศใต้ห่างจากริมทางสาธารณะเพียง 0.40 เมตร และ 0.50 เมตร ตามลำดับแนวอาคารด้านทิศเหนือจึงห่างจากศูนย์กลางทางสาธารณะเพียง 1.35 เมตรและห่างจากศูนย์กลางทางสาธารณะด้านทิศใต้เพียง 1.25 เมตรไม่ถึงด้านละ 3 เมตร เป็นการขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ข้อ 72 วรรคแรก และถ้าหากจะให้แนวอาคารร่นระยะห่างจากศูนย์กลางทางสาธารณะด้านทิศเหนือกับด้านทิศใต้เข้ามาให้ได้ด้านละ 3 เมตร ที่ดินของจำเลยจะเหลือความยาวสำหรับก่อสร้างอาคารเพียง 6.80 เมตรเท่านั้นและเรื่องนี้ก็ได้ความจากคำเบิกความของนายสุทัศน์ ชมดี ผู้ช่วยหัวหน้าเขตพระนครพยานโจทก์และจำเลยที่ 2 ว่า ที่ดินของจำเลยมีเนื้อที่ไม่พอที่จะขออนุญาตก่อสร้างอาคารใหม่ได้ ทั้งอาคารที่จำเลยก่อสร้างขึ้นใหม่นี้เป็นอาคารที่พักอาศัยไม่มีที่ว่างเหลือ 30ใน 100 ส่วนของพื้นที่ เป็นการขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครดังกล่าวข้อ 76 อีก อาคารของจำเลยจึงไม่สามารถแก้ไขให้ถูกต้องตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครดังกล่าวได้ การที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีคำสั่งให้จำเลยรื้อถอนอาคารดังกล่าว แม้อาคารดังกล่าวจะมีความมั่นคงแข็งแรงก็ถือได้ว่ามีเหตุผลสมควรที่จะต้องรื้อถอน”
พิพากษายืน

Share