คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 248/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทำหลักฐานเป็นรูปจดหมายให้ไว้แก่โจทก์ขอรับรองและขอบคุณโจทก์สำหรับเงินกู้ที่โจทก์ให้จำเลยกู้จึงเป็นเพียงหนังสือรับสภาพว่าเป็นเงินที่โจทก์ให้จำเลยยืมอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมตามมาตรา 653 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อย่างหนึ่งเท่านั้นหาใช่เป็นลักษณะแห่งตราสารการกู้ยืมเงินอันจะพึงต้องปิดอากรแสตมป์ไม่ (อ้างฎีกาที่ 531/2505)
การที่ในจดหมายของบริษัทจำเลยกำหนดเวลาชำระหนี้ขึ้นเองว่า จะชำระให้แก่โจทก์ต่อเมื่อการขายผลิตผลของตนมีผลพอเพียงที่จะชำระหนี้ได้นั้น ไม่มีระยะเวลาชำระหนี้ที่ได้กำหนดลงไว้ทั้งจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ว่าเมื่อใดบริษัทจำเลยจึงจะขายผลิตผลได้พอเพียงที่จะชำระหนี้ได้ เพราะเป็นเหตุการณ์ในอนาคตที่ยากจะมองเห็นผลสำเร็จได้ว่าต้องกินเวลาช้านานเพียงใดการชำระเงินคืนให้โจทก์ที่บริษัทจำเลยทำให้นั้นเท่ากับไม่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ลงไว้ ดังนั้น แม้จำเลยจะขาดทุนก็ไม่สามารถจะยกเอาเหตุนี้มาปัดความรับผิดต่อโจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า บริษัทจำเลยซื้อที่ดินโจทก์โฉนดที่ 7537 และ 2849เป็นราคา 200,000 บาท บริษัทจำเลยชำระเงินสดให้โจทก์แล้ว 100,000 บาท หักเป็นค่าหุ้นที่โจทก์ซื้อจากบริษัทจำเลย 10 หุ้น ๆ ละ 1,000 บาท รวมเป็นเงินค่าที่ดินที่บริษัทจำเลยชำระให้โจทก์แล้ว 110,000 บาท ส่วนที่ยังคงค้างชำระอยู่อีก 90,000 บาท บริษัทจำเลยได้ทำเป็นหนังสือกู้ให้โจทก์เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2495 บริษัทจำเลยไม่ชำระ ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยชำระพร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยให้การว่า เงิน 90,000 บาท โจทก์ฝากไว้ทำผลในบริษัทจำเลย ซึ่งจะได้รับคืนเมื่อผลจากการขายผลิตผลของบริษัทได้เงินพอเพียงที่จะชำระได้ บริษัทจำเลยขาดทุน จึงยังไม่สามารถชำระเงินได้โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้อง เอกสารที่โจทก์ฟ้องไม่ใช่สัญญากู้เงินหรือถ้าเป็นหนังสือกู้เงินก็ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ ถูกต้องตามประมวลรัษฎากร หนี้สินรายนี้ไม่มีกำหนดเวลา โจทก์ฟ้องคดีโดยไม่ได้บอกกล่าว

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีตามฟ้อง

บริษัทจำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

บริษัทจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงได้ความว่า บริษัทจำเลยได้ทำหลักฐานรูปจดหมายเป็นภาษาอังกฤษไว้ให้โจทก์ ลงวันที่ 2 มิถุนายน 2495 ปรากฎตามคำแปลขึ้นต้นถึงโจทก์แล้วคำเบิกความว่า “หนังสือนี้เพื่อขอรับรองและขอบคุณท่านสำหรับเงินกู้ของท่านให้บริษัทแก๊สบริสุทธิ์ฯ กู้เงิน 90,000 บาท บริษัทรับรอง ณ ที่นี้ว่าการชำระเงินคืนจะเริ่มเมื่อผลจากการขายผลิตผลของบริษัทพอเพียงที่จะชำระได้” แล้วลงท้ายว่า “ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง” และลงชื่อบริษัทจำเลยเป็นสำคัญ แต่ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ที่เอกสารศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าคดีฟังไม่ได้ว่าเป็นเงินที่โจทก์ฝากไว้ในบริษัทจำเลยเพื่อทำประโยชน์ แต่เป็นจำนวนเงินซื้อที่ดินของโจทก์ที่ยังค้างชำระอยู่ ซึ่งบริษัทจำเลยได้ทำหลักฐานให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นสำคัญ

ศาลฎีกาเห็นว่า จดหมายของบริษัทจำเลยที่มีถึงโจทก์นั้น เป็นเพียงหนังสือรับสภาพว่าเงินค่าซื้อที่ดินที่ยังค้างชำระอยู่ 90,000 บาทนั้น เป็นเงินที่โจทก์ให้บริษัทจำเลยยืม อันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมตามมาตรา 653 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อย่างหนึ่งเท่านั้น หาใช่เป็นลักษณะแห่งตราสารการกู้ยืมเงินจำนวนนั้นโดยตรงอันจะพึงต้องปิดอากรแสตมป์ไม่ เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 531/2505

ส่วนข้อที่ว่า หนี้รายนี้มีกำหนดว่าบริษัทจำเลยจะชำระคืนให้แก่โจทก์ต่อเมื่อบริษัทจำเลยมีผลจากการขายผลิตผลของบริษัทพอเพียงที่จะชำระได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 203 บัญญัติเรื่องการไม่ชำระหนี้ว่า ถ้าเวลาอันจะพึงชำระหนี้นั้นมิได้กำหนดลงไว้หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลันการที่ในจดหมายของบริษัทจำเลยกำหนดเวลาชำระหนี้ขึ้นเองว่าจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ต่อเมื่อการขายผลิตผลของตนมีผลพอเพียงที่จะชำระหนี้ได้นั้น ไม่มีระยะเวลาชำระหนี้ที่ได้กำหนดลงไว้ทั้งจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ว่า เมื่อใดบริษัทจำเลยจึงจะขายผลิตผลได้พอเพียงที่จะชำระหนี้ได้ เพราะเป็นเหตุการณ์ในอนาคตที่ยากจะมองเห็นผลสำเร็จได้ว่าต้องกินเวลาช้านานเพียงใดการชำระเงินคืนให้โจทก์ที่บริษัทจำเลยทำให้นั้น เท่ากับไม่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ลงไว้ ดังนั้น แม้การค้าบริษัทจำเลยจะขาดทุนก็ไม่สามารถจะยกเอาเหตุนี้มาปัดความรับผิดต่อโจทก์เสียได้และฟังข้อเท็จจริงว่า ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ได้พยายามทวงถามเรียกร้องให้บริษัทจำเลยชำระหนี้รายนี้แล้ว สิทธิฟ้องของโจทก์จึงย่อมเกิดขึ้นแล้ว

พิพากษายืน

Share